นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีรายได้รวมสูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 2,877 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 97,640 ล้านบาท โดยหลักมาจากยอดขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดผลิตและขายถ่านหินในปีนี้จะอยู่ที่ราว 44.8 ล้านตัน มาจากแหล่งอินโดนีเซียจำนวน 26 ล้านตัน แหล่งออสเตรเลีย 14.1 ล้านตัน และแหล่งในจีน 4.7 ล้านตัน เทียบกับปีก่อนมียอดขายรวมประมาณ 41.3 ล้านตัน ขณะที่ราคาถ่านหินในปีนี้ก็ยังมีแนวโน้มดี ซึ่งราคาขายถ่านหินของบริษัทอิงกับราคาถ่านหินนิวคาสเซิล
นายสมยศ รุจิรฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU คาดว่าราคาขายถ่านหินของ BANPU ในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ 71 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยปัจจุบันราคาถ่านหินนิวคาสเซิลอยู่ที่ 104 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากดีมานด์จากจีนมีมากต่อเนื่อง เพราะอากาศหนาวขึ้น รวมทั้งมีข้อจำกัดการขนส่งถ่านหินในจีนและข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้บริษัทได้สัญญาขายล่วงหน้าไปแล้ว 57% ส่วนอีก 43% จะหาจังหวะตลาดที่เหมาะสม
และคาดว่าในระยาว 10 ปีราคาถ่านหินน่าจะอยู่ที่ 80-85 เหรียญ/ตัน ทำให้บริษัททำการขุดถ่านหินเพิ่มขึ้น โดยแหล่งถ่านหินในอินโดนีเซียมีปริมาณสำรองเพิ่มขึ้นอีก 77 ล้านตัน
นางสมฤดี ยังกล่าวอีกว่า ในปีนี้ธุรกิจก๊าซในสหรัฐอเมริกาที่จะบันทึกรายได้และกำไรสูงขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 38 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไร 25 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะปีนี้จะรับรู้เต็มปี หลังจากที่เข้าซื้อแหล่งที่ 5 และ แหล่งที่ 6 ที่มีขนาดกำลังผลิต 100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และ 52 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในปลายปีที่แล้ว ทำให้ BANPU มีแหล่งก๊าซธรรมชาติ ในเพนซิลวาเนีย 6 แหล่ง รวมกำลังผลิต 201 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน
ขณะที่บริษัทตั้งงบลงทุนรวมในปี 61 จำนวนรวม 182 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้า 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ธุรกิจก๊าซ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ธุรกิจถ่านหิน 12 ล้านเหรียญสหรัฐ และธุรกิจพลังงานทางเลือก (Energy Technology Solution:ETS) จำนวน 70 ล้านเหรียญสหรัฐ
นางสมฤดี กล่าวว่า บริษัทมองว่าธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จะต้องเพิ่มเม็ดเงินลงทุน หลังจากที่ใช้เงินลงทุนได้เร็วกว่าเป้าหมาย โดยใช้ลงทุนไปแล้ว 522 ล้านเหรียญสหรัฐ และตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนเพิ่ม ซึ่งต้องเฉลี่ยงบลงทุนธุรกิจอื่นด้วย และราคาขายยังอยู่ในเกณฑ์ดี ที่ประมาณ 2.9 เหรียญ/ลูกบาศก์ฟุต/วัน
ส่วนธุรกิจ ETS ซึ่งดำเนินการภายใต้บริษัท บ้านปู อินฟิเนอร์ยี จำกัด ในปีนี้บริษัทศึกษาลงทุนด้านพลังงาน อาทิ แบตเตอรี่ โดยจะเข้าร่วมทุนกับบริษัทที่ดำเนินการอยู่ โดยขณะนี้เจรจากับผู้ประกอบการ 1 รายคาดว่าจะรู้ผลสรุปในไตรมาส 1/61 นอกจากนี้มี solar roof top ปีนี้ตั้งเป้าติดตั้ง 100 เมกะวัตต์ และเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ในปี 63
ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนในปีนี้มาจากเงินปันผลจากบริษัทลูก ได้แก่ BLCP, โรงไฟฟ้าหงสา, บริษัท Centanial , ITM รวมกันมากกว่า 5 พันล้านบาท และที่เหลือมาจากเงินกู้และการออกหุ้นกู้ โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทจะออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาท อายุหุ้นกู้ 10 ปี ส่วนหนึ่งนำไปทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนและอีกส่วนหนึ่งนำไปใช้ลงทุน และบริษัทยังมีมีเงินสดในมืออีก 1.3 หมื่นล้านบาท
นางสมฤดี กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปี 63 ความสามารถทำกำไรหรือ EBITDA ใน 4 ธุรกิจ จะแบ่งเป็นธุรกิจถ่านหิน 66% ธุรกิจไฟฟ้า 23% ธุรกิจก๊าซ 7% และ ETS 4% จากปี 60 มีสัดส่วนจากธุรกิจถ่านหิน 79% ธุรกิจไฟฟ้า 19% ธุรกิจก๊าซ 2%