นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่ปรับตัวขึ้นมากกว่าลง เนื่องจากตลาดฯไม่ได้มีปัจจัยลบอะไร ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก เช่นเดียวกับดัชนีดาวโจนส์
ทั้งนี้ ตลาดบ้านเราขาดเพียงแค่ Fund Flow ที่จะเข้ามาช่วยหนุนเท่านั้น ซึ่งก็ทำให้การปรับขึ้นของดัชนีฯอยู่ในกรอบจำกัด พร้อมให้ติดตามการแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ ซึ่งจะกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสสหรัฐในวันพรุ่งนี้ (27 ก.พ.) โดยจะเป็นการแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินเป็นครั้งแรกต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งต้องรอดูทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
พร้อมให้แนวรับ 1,800 จุด ส่วนแนวต้าน 1,820 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 ก.พ.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,309.99 จุด พุ่งขึ้น 347.51 จุด (+1.39%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,747.30 จุด เพิ่มขึ้น 43.34 จุด (+1.60%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,337.39 จุด เพิ่มขึ้น 127.31 จุด (+1.77%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 241.86 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 18.28 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 261.12 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 33.43 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 13.83 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 10.05 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.71 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 17.41 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลดลง 4.43 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 ก.พ.61) 1,808.06 จุด เพิ่มขึ้น 19.43 จุด (+1.09%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,785.63 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ก.พ.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 ก.พ.61) ปิดที่ระดับ 63.55
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 ก.พ.61) ที่ 7.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.39 แข็งค่า หลังตลาดคลายกังวลการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด คาดกรอบ 31.35-31.45
- การประชุมบอร์ดอีอีซีวันนี้ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะเสนอแผนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมืองสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) และโครงการลงทุนรถไฟทางคู่เชื่อม 3 ท่าเรือ ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ทีโออาร์จะแล้วเสร็จ เพื่อนำไปสู่กระบวนการสรรหาผู้ร่วมทุน และเริ่มขั้นตอนการก่อสร้างให้ทันเปิดดำเนินการภายในปี 2566
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานฐานะทางการเงินของสถาบัน การเงินเฉพาะกิจ หรือ แบงก์รัฐ ณ สิ้นปี 2560 ว่า มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 5.24 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดสินเชื่อคงค้างที่ 4.92 ล้านล้านบาท
- ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เผยเศรษฐกิจไทยในภาพรวมขยายตัวได้ดี แต่การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อการลงทุนยังคงล่าช้า ซึ่งเป็นผลจากผลกระทบของการบังคับใช้พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุของภาครัฐ พ.ศ. 2560 ที่มีผลบังคับใช้ช่วงเดือน ส.ค. 2560 ที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าสถานการณ์ในปีนี้จะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากส่วนราชการเริ่มปรับตัวเข้ากับกฎหมายใหม่ได้แล้ว
- ภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในช่วงระหว่างปี 2561-2565 จะเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ขณะที่ในปีนี้ประเมินกันว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 4% เนื่องจากรัฐบาลได้มีการผลักดันโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์ ทั้งโครงการรถไฟไทย-จีน การขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.79 ล้านล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- MINT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 48 บาท กำไร Q1/61 จะเป็นจุดสูงสุดของปี ยังคาดกำไรปีนี้ +20% Y-Y ราคาหุ้นที่ปรับลงเกือบ 10% ในกว่า 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาสวนทางกับภาพที่เป็นบวกดังกล่าว ด้านผู้บริหารคาดว่าปี 2561 จะเป็นปีที่ดีทั้งรายได้และ Margins ที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจโรงแรมคาดว่าจะมี Rev Par โตทุกตลาดนำโดยไทยและโปรตุเกส ส่วนธุรกิจอาหารคาดเห็นการฟื้นตัวของ SSSG ชัดเจนโดยเฉพาะในไทย และยังใช้กลยุทธ์ปิดสาขาที่ไม่กำไรในตลาดที่มีปัญหา
- PSL (ไอร่า) เป้า 14.10 บาท (มีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการพร้อมเป้าหมาย) แนวโน้มปี 61 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากภาวะอุปสงค์และอุปทานที่เข้าใกล้จุดสมดุลมากขึ้นในปี 61 แนวโน้ม Q1/61 อ่อนตัวลง ผลจากฤดูกาลที่เรือใหม่มักเข้าสู่อุตสาหกรรมในช่วง ม.ค. รวมถึงวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลตรุษจีน และผลกระทบจากการลดกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมหนักของจีนเพื่อควบคุมมลพิษที่จะจบมาตรการลงใน มี.ค. นี้ อย่างไรก็ตามคาด PSL จะกลับมาเติบโตได้ใน Q2/61 พร้อมมุมมอง
- JUBILE (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) ผู้บริหารกลับมาเริ่มการขยายสาขาอีกครั้งในรอบ 2 ปี ส่งผลให้คาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง โดยปรับกำไรปี 61-62 ขึ้น 29% และ 42% ตามลำดับ ด้วยเหตุผลดังกล่าวส่งผลให้มองว่า ราคาหุ้นควรกลับไปอยู่ระดับสูงสุดอีกครั้ง(เทียบเท่าปี 57) บน Lower PER band ที่ 28x ทำให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 35.50 บาท (Upside 40%)