นางสาวพาพิชญ์ วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ริช สปอร์ต (RSP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หรือกลับมาอยู่ใกล้เคียงกับปี 59 ที่มีรายได้ 1.35 พันล้านบาท จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยคาดว่ายอดขายในสาขาเดิมจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
ประกอบกับ ในปีนี้บริษัทฯเตรียมงบลงทุนไว้ราว 20-30 ล้านบาท เพื่อใช้เปิดสาขาใหม่แบรนด์ Converse อีก 5-10 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 159 สาขา ใช้งบลงทุนราว 5 แสนบาทถึง 2 ล้านบาทต่อสาขา และเปิดสาขาแบรนด์ Pony อีก 10-15 สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่ 40 สาขา ใช้งบลงทุนราว 2-5 แสนบาทต่อสาขา ตลอดจนจะใช้เงินลงทุนในการปรับปรุงสาขาเดิม 30 สาขา
สำหรับการขยายตลาดไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา บริษัทฯได้เปิดสาขา Converse และ Pony สาขาแรกในห้างอิออน (Aeon mall) กรุงพนมเปญ เรียบร้อยแล้ว และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องด้วยจุดแข็งของแบรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักแพร่หลาย โดยบริษัทฯมีแผนที่จะเปิดสาขาในประเทศกัมพูชาอีก 2 สาขา แบ่งเป็น Converse 1 สาขา และ Pony 1 สาขา ในช่วง พ.ค.-มิ.ย. นี้ โดยการเปิดสาขาดังกล่าวจะช่วยให้การเข้าถึงสินค้าสะดวกสบายและเพิ่มยอดขายให้บริษัทเติบโตตามแผนที่วางไว้
"ทิศทางผลประกอบการในปี 61 ด้วยเศรษฐกจิที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และกำลังซื้อที่มากขึ้นตามแล้ว เรายังมีการเปิดสาขาใหม่และการปรับปรุงสาขาเดิมให้มีรูปแบบที่สามารถดึงดูดลูกค้าได้ เราเชื่อว่ากำลังซื้อจะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาส 2/61 โดยเราจะมุ่งเน้นการทำการตลาด Online ไปพร้อมกับการจัดกิจกรรมทางการตลาดต่าง ๆ เพื่อที่จะกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย"นางสาวพาพิชญ์ กล่าว
นางสาวพาพิชญ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงปลายปีนี้บริษัทฯเตรียมเซ็นสัญญากับแบรนด์ Converse เพื่อที่จะต่อระยะเวลาการเป็นตัวแทนจำหน่ายทั้งในไทยและกัมพูชาตั้งแต่ปี 62-64 โดยปัจจุบันทางแบรนด์ Converse ได้ส่งสัญญาต่าง ๆ มาแล้วเรียบร้อย จึงไม่มีความกังวลเกี่ยวกับการต่อสัญญาใหม่แต่อย่างใด
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและเจรจากับแบรนด์ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับแฟชั่น และไลฟ์สไตล์ โดยบริษัทฯตั้งเป้าที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายให้ครบ 5 แบรนด์ในปี 63 จากปัจจุบันบริษัทฯมีแบรนด์ทั้งหมด 2 แบรนด์ คือ Converse และ Pony โดยบริษัทฯตั้งเป้าที่จะเจรจาเพิ่มได้ 1 เบรนด์ต่อปี
สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลเกี่ยวกับอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯหากบริษัทหยุดผลิตเองนั้น บริษัทขอยืนยันว่าอาจจะมีผลกระทบบ้างแต่น้อยมาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนที่ผลิตสินค้าเองเพียง 30% เท่านั้น ซึ่งบริษัทยังคงมั่นใจว่าจะรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 20% ได้ แม้ว่าในปี 60 ที่ผ่านมาอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ที่เพียง 19.10% ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังซื้อที่ลดลง และการจัดกิจกรรมทางการตลาดทำให้มาร์จิ้นลดไปบ้าง แต่ในปีนี้จะกลับสู่ภาวะปกติแล้ว