นายสมชาย คุลีเมฆิน ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ (GC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 เติบโต 8% จากปีก่อน เนื่องจากปีนี้บริษัทมีแผนการขยายฐานลูกค้าใหม่ และกระตุ้นลูกค้าเดิมที่บริษัทมีลูกค้าทั้งหมดราว 2,000 ราย โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่ active อยู่จำนวน 900 ราย ทำให้คาดว่าสามารถสร้างรายได้ต่อเนื่อง จากนโยบายสร้างความสัมพันธ์อันดีเป็นสำคัญ
อีกทั้งบริษัทมีแผนเพิ่มสายการผลิตต่อเนื่อง โดยเน้นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ต่อเนื่อง ประกอบกับมองโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ช่วยหนุนรายได้ของบริษัท เนื่องจากบางรายใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท อาทิ เม็ดพลาสติก และ แผ่นหล่อเย็น เนื่องจากบริษัทเป็นแหล่งอ้างอิงสินค้าดังกล่าวซึ่งมีความเชี่ยวชาญสูง
นายสมชาย กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 6-7% และอัตรากำไรสุทธิที่ 2-3% โดยบริษัทจะเน้นการบริหารต้นทุน และประหยัดต้นทุนมากขึ้น
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนคลังสินค้า หลังจากที่ผ่านมาบริษัทมีการเช่าคลังสินค้าโดยมีค่าใช้จ่าย 7 ล้านบาท/ปี ทั้งนี้ตั้งงบลงทุนไว้ราว 200-300 ล้านบาท คาดว่าจะชัดเจนภายในไตรมาส 2/61 โดยเม็ดเงินลงทุนมาจากกำไรสะสม กำไรที่จะเข้ามาใหม่ และเงินกู้ระยะยาว โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 1.76 เท่า ซึ่งจะรักษาไว้ที่ระดับ 2-3 เท่า มองว่าเป็นระดับที่ไม่สูงเนื่องด้วยธุรกิจจะต้องมีลูกหนี้การค้า ในการมีสินค้าคงคลังเพื่อรองรับการขายสำหรับออเดอร์ในอนาคต
บริษัทคาดว่าราคาน้ำมันในปี 61 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากทั้งผู้ผลิตและผู้ขายมีนโยบายพยายามควบคุมลดกำลังการผลิตน้ำมันลงจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งถ้าสามารถควบคุมได้ราคาอาจปรับเพิ่มขึ้นได้บ้าง จากจำนวนการผลิต (supply) ลดลง ขณะที่ความต้องการ(demand) เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน ทำให้คาดว่าประชาชนจะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามมีผู้เล่นหลักเพิ่มขึ้นอย่างสหรัฐฯ อีกรายทำให้มีกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเข้ามาในตลาด ทำให้ราคาอาจลดลงได้บ้าง
อย่างไรก็ตามมองว่า ปริมาณการใช้งานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าส่วนหนึ่ง คงปรับตัวไปทิศทางเดียวกัน แต่คงไม่ได้ขึ้นแรงมาก
ที่ผ่านมาบริษัทเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ (GDP) พอสมควร โดยภาพรวมการเติบโตของ GDP ในปี 60 ที่ราว 3.9% และปี 61 ที่ 4.2% เป็นแนวโน้มที่ดีกับทิศทางมูลค่าลูกค้าที่เป็นผู้ผลิต ซึ่งจะมีการผลิตมากขึ้นทำให้มีการเติบโตของยอดขาย
ด้านอัตราแลกเปลี่ยน มองเป็นผลดีของบริษัทในการนำเข้า จากเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยต้องมีการบริหารอย่างใกล้ชิด และมีการประกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมกับปริมาณการขาย