ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมีรายได้รวม 30,000 ล้านบาท จากปีนี้ตั้งไว้ที่ 24,090 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 14,000 ล้านบาท รายได้ของ แกรนด์ แอสเสทฯ ในส่วนของคอนโดมิเนียม 2,200 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจโรงแรม 3,530 ล้านบาท รายได้จากการขายที่ดิน 4,000 ล้านบาท และ จากธุรกิจให้เช่าอีก 360 ล้านบาท โดยตั้งเป้าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิ (Net IBD/E) ให้อยู่ระดับ 1.2 เท่า
นอกจากนี้กลุ่มบริษัทยังจะเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ทั้งการบริหารจัดการต้นทุนการเงินและควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมถึงนำแลนด์แบงก์มาพัฒนาและขายมากขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไรขั้นต้น
ทั้งนี้ PF มีแผนร่วมทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากฮ่องกง พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ 2 โครงการ ซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ในอนาคตปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับแกรนด์ แอสเสทฯ ซึ่งได้ร่วมทุนกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี นอกจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม "ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ" แล้ว ยังมีแผนพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มเติม ในส่วนของธุรกิจโรงแรมซึ่งอยู่ภายใต้เชนแมริออทและไฮแอท จะใช้ความเป็นบริษัทบริหารจัดการด้านโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และฐานลูกค้ากว่า 100 ล้านคน มาช่วยสนับสนุนผลักดันในเรื่องรายได้
ขณะเดียวกันปีนี้ คิโรโระ รีสอร์ท จะมีความร่วมมือกับบริษัทด้านสกีระดับโลกมาช่วยสนับสนุนเพิ่มจำนวนลูกค้าให้มากขึ้น ทำให้สามารถต่อยอดธุรกิจทั้งในส่วนโรงแรมและที่พักอาศัย ซึ่งในส่วนของที่พักอาศัย มีแผนพัฒนาโครงการต่อเนื่องบนที่ดินเปล่า Freehold ประมาณ 300 ไร่ โดยนอกจากการลงทุนในโครงการ "ยู คิโรโระ" คอนโดมิเนียมมูลค่า 4,000 ล้านบาทที่เพิ่งเปิดตัวไปแล้วนั้น ยังมีแผนจะพัฒนาโครงการในรูปแบบวิลล่า มูลค่า 4,500 ล้านบาท ร่วมกับบริษัทชั้นนำในธุรกิจที่อยู่อาศัยของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
นายชายนิด กล่าวว่า ความคืบหน้าของการจัดการที่ดินบนทำเลย่านรัชดา 2 แปลง 20 ไร่ ที่เป็นที่ดินภายใต้บมจ.วี รีเทล ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ที่สนใจซื้อหรือร่วมทุน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 2/61 ซึ่งหากข้อสรุปออกมาเป็นการขายที่ดิน บริษัทจะได้เงินจากการขายที่ดินดังกล่าวที่ 2.7 พันล้านบาท โดยผู้ที่สนใจที่มีการเจรจากันอยู่นั้นมี 2 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจทำโรงแรมในไทย 1 ราย และกลุ่มต่างประเทศที่ลงทุนในธุรกิจโรงแรมอีก 1 ราย
สำหรับแผนการพลิกฟื้นบมจ.วี รีเทล ให้ผลมีผลการดำเนินงานกลับมาเติบโต และเตรียมนำกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายใน 3 ปี หรือภายในปี 63 โดยนอกเหนือจากขายที่ดินย่านรัชดาแล้ว บริษัทกำลังพิจารณาหาสินทรัพย์ใหม่เข้ามาทดแทนอาคาร One & Two pacific place ที่จะหมดสัญญาเช่าในปี 62 พร้อมกับเร่งหาผู้เช่าเข้ามาเช่าพื้นที่ในโครงการ Metro west town
น.ส.ศิริรัตน์ วงศ์วัฒนา กรรมการประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการเงิน PF กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 8 พันล้านบาท แบ่งเป็น งบซื้อที่ดิน 3 พันล้านบาท และงบก่อสร้าง 5 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะนำมาจากการขายที่ดิน เงินกู้จากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ โดยในปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุ มูลค่ารวม 4.75 พันล้านบาท ที่จะครบกำหนดในเดือนส.ค. และ ธ.ค.นี้โดยหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกมูลค่า 4 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยออก 3 ครั้ง ในเดือนมี.ค. มิ.ย. และ ส.ค. เฉลี่ยครั้งละกว่า 1 พันล้านบาท อายุหุ้น 3-5 ปี
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนคืนหนี้เงินกู้สถาบันให้กับสถาบันการเงินจำนวน 2-3 พันล้านบาท เพื่อลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ลดลงเหลือ 1.2 เท่า จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ 1.58 เท่า เพื่อทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง ส่วนยอดขายรอโอน (Backlog) ในปัจจุบันอยู่ที่ 5 พันล้านบาท ซึ่งรับรู้รายได้ในปีนี้ 90% โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 1.2 พันล้านบาท และโครงการคอนโดคอนโดมิเนียม 3.5-3.6 พันล้านบาท ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมอีก 200-300 ล้านบาท ในปี 62
นายไพสิฐ แก่นจันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจโรงแรม GRAND คาดว่า ในปีนี้รายได้จากธุรกิจโรงแรมภายในประเทศจะเพิ่มเป็น 2,100 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 92% จากปี 2560 โดยมาจากการปรับเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (ADR) ของทั้ง 3 โรงแรมที่ดำเนินการอยู่ เน้นธุรกิจ MICE เพื่อเพิ่มรายได้ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม จากการรับรู้รายได้จากโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท ที่จะเปิดดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ และจากการรับรู้รายได้จากโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ที่จะเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน
สำหรับการเปิดโครงการใหม่ แกรนด์ แอสเสทฯ มีแผนลงทุนโครงการแบบมิกซ์ยูส เป็นรีสอร์ทผสมผสานกับคอนโดมิเนียมและพูลวิลล่า บริเวณหาดแม่พิมพ์ จังหวัดระยอง จะขยายในส่วนของโรงแรมเพื่อรองรับ EEC ปัจจุบันธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัท มีจำนวนห้องพักรวม 1,079 ห้อง เป็นห้องพักโรงแรมในประเทศ 657 ห้อง ต่างประเทศ 422 ห้อง และจะเพิ่มขึ้นในปีนี้อีก 999 ห้อง จากโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท 273 ห้อง และจากโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน 726 ห้อง ซึ่งบริษัทได้เข้าซื้อกิจการมา
นายไพสิฐ กล่าวว่า การนำสินทรัพย์เข้าขายในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) คาดว่าจะเห็นได้อีกครั้งในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยมองว่าสินทรัพย์ที่มีโอกาสเข้ามาขายในกอง REIT คือ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท และโรงแรมไฮแอท ระยอง
ส่วนโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน คาดกระบวนการซื้อกิจการจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปีนี้ โดยมูลค่าการซื้อทั้งหมด 100% คิดเป็นมูลค่า 3.5 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทถือหุ้นอยู่ 68% มูลค่า 2.3 พันล้านบาท ซึ่งส่วนที่เหลือบริษัทจะต้องทำการซื้อจากกลุ่ม MBK มาอีก 29% และแนวโน้มในอนาคตจะนำโรงแรมนี้เข้าไปขายในกอง REIT เพื่อนำเงินมาพัฒนาโรงแรมแห่งใหม่ ซึ่งจะใช้กลยุทธ์เน้นไปตามหัวเมืองใหญ่ๆในประเทศ เช่น ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต เชียงใหม่
สำหรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) ของ 3 โรงแรม ได้แก่ โรงแรมเชอราตัน ปราณบุรี โรงแรมเชอราตัน หัวหิน และโรงแรมเวสติน แกรนด์ กรุงเทพ ในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 7-8% ในขณะที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCC) จะอยู่ที่ 80% ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากโรงแรมในหัวหินและปราณบุรี มีอัตราการเข้าพักที่เป็นฤดูกาลส่งผลให้อัตราเข้าพักอยู่ที่ 70% ในขณะที่กรุงเทพอยู่ที่ 85-90% ทำให้อัตราการเข้าพักยังคงที่ในระดับดังกล่าว