ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) พัฒนานวัตกรรมการบริการที่เรียกว่า "KK Magic Mirror" กระจกวิเศษที่ช่วยให้การเงินเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วคลิก ซึ่งใช้เทคโนโลยีมาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับธนาคารในแบบที่เป็นธรรมชาติที่สุด (Human Interaction) โดยถือเป็นประสบการณ์ใหม่เพราะเป็นการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินผ่านจอ LED แบบ Interactive ครั้งแรกของประเทศไทย
ทั้งนี้ บริการของ KK Magic Mirror แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ แบบแรก คือการโต้ตอบกับพนักงานเสมือนจริง โดยเพียงตอบข้อมูลทางการเงิน 2 คำถาม ระบบจะสรุปแนวทางการวางแผนการลงทุนเบื้องต้นในรูปแบบเฉพาะบุคคล เพื่อเป็นแนวทางในการเข้ารับคำปรึกษาเรื่องการลงทุนอย่างเต็มรูปแบบที่สาขาธนาคารต่อไป
แบบที่สอง คือการพูดคุยกับกูรูทางการเงินจากกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรในรูปแบบ Live Video Call ในช่วงกิจกรรมพิเศษ เพื่อตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมกับความต้องการ หรือนอกจากช่วงกิจกรรมพิเศษ ลูกค้าก็สามารถติดต่อกับพนักงานได้ทันทีเพื่อซักถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการผ่าน Live Video Call ได้เช่นกัน
"KK Magic Mirror แตกต่างจากเครื่องมือด้านการเงินทั่วไปที่มักมีลักษณะเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่ KK Magic Mirror ถูกออกแบบมาให้พูดคุยโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้เหมือนกำลังสื่อสารกับมนุษย์จริงเพื่อสร้างความรู้สึกที่เป็นมิตรและเข้าถึงง่าย"นายอนุชิต กล่าว
ทั้งนี้ ธนาคารมั่นใจว่า KK Magic Mirror จะเป็นช่องทางเข้าถึงที่ปรึกษาทางการเงินขั้นพื้นฐาน และช่วยให้ผู้สนใจด้านการวางแผนการเงินและการลงทุนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สะดวกเข้าไปรับบริการที่สาขาธนาคาร ลูกค้าสามารถสัมผัสประสบการณ์ใหม่ผ่าน KK Magic Mirror ได้ใน 5 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ ธนาคารเกียรตินาคิน สาขาอโศก ศูนย์การค้าสยาม พารากอน ศูนย์การค้าเค วิลเลจ ศูนย์การค้าซีคอน สแควร์ ศรีนครินทร์ และ อาคารซีพี ทาวเวอร์ 1 สีลม ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นไป
"KK Magic Mirror นับเป็นอีกหนึ่งระดับของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อต่อยอดไปสู่การขยายฐานลูกค้า หลังจากนี้ ธนาคารยังมีแผนพัฒนาช่องทางการให้บริการและผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคดิจิตัลอีกอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าที่เริ่มติดต่อหรือทำธุรกรรมจากบนแพลตฟอร์มออนไลน์ร่วม 50,000 รายต่อปี โดยตั้งเป้าจะเพิ่มฐานลูกค้าในส่วนนี้อีกราว 20%" ดร.อนุชิต กล่าว
อนึ่ง จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าจำนวนธุรกรรมที่ประชาชนทำผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารและตู้ ATM ลดลงจากประมาณ 41% ของธุรกรรมทั้งหมดในปี 53 เหลือเพียง 17% ในปัจจุบัน ขณะที่ธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นจากประมาณ 15% เป็น 66% ในช่วงเวลาเดียวกัน
สาเหตุที่ประชาชนหันมาทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้นมี 2 ประการ ได้แก่ หนึ่ง กระแสเทคโนโลยียุค 4.0 (Industry 4.0) ที่ทำให้การใช้โทรศัพท์มือถือและรูปแบบธุรกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) มีมากขึ้น และสอง การนำเสนอบริการพร้อมเพย์หรือการโอนเงินและรับโอนเงินที่ผูกบัญชีเงินฝากธนาคารเข้ากับหมายเลขบัตรประชาชนหรือโทรศัพท์มือถือตามโครงการ National e-Payment ของภาครัฐ ซึ่งช่วยลดทอนค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยมูลค่าสะสมการทำธุรกรรมโอนเงินผ่านบริการพร้อมเพย์ล่าสุด อยู่ที่ 4 แสนล้านบาท และมีผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ของบุคคลธรรมดาแล้ว 37 ล้านบัญชี และของนิติบุคคลอีก 4.5 หมื่นบัญชี