นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอทีพี 30 (ATP30) เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยคาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 420 ล้านบาท และรักษาอัตราการทำกำไรไม่ต่ำกว่า 10%
"ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะสร้างการเติบโตทำนิวไฮทั้งรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของบริษัทที่มีการพัฒนาระบบการดำเนินงานด้านการควบคุมการเดินรถตามมาตรฐานสากล ISO39001 การพัฒนาบุคลากร รวมถึงการบริหารจัดการที่ดี โดยมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนรถที่ให้บริการในปี 2561 อีก 40 คัน อีกทั้งในปีนี้จะมีรถที่หมดค่าเสื่อมเพิ่มขึ้นอีกเป็น 35 คัน ซึ่งจะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น"นายปิยะ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจเดิมเติบโตตามอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาลงทุน และยังเป็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจรถขนส่งในรูปแบบอื่นเพิ่มเติม ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาและพิจารณาความเป็นไปได้ มั่นใจว่าจากแผนการดำเนินงานและปัจจัยสนับสนุนต่างๆ จะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะที่ผลประกอบการปี 2560 บริษัทมีรายได้จากการบริการ 347.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 300.78 ล้านบาท จำนวน 46.72 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 15.53 % โดยมีกำไรสุทธิ 26.25 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 21.93 ล้านบาท จำนวน 4.32 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.70 %
ส่วนผลประกอบการงวดไตรมาส 4/60 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 95.44 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 77.18 ล้านบาท จำนวน 18.26 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 23.66% และมีกำไรสุทธิ 10.56 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.47 ล้านบาท จำนวน 7.09 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 204%
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทเติบโตเนื่องจากปี 2560 บริษัทมีจำนวนรถที่ให้บริการกับลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่า 60 คัน เพื่อให้บริการกับฐานลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ อีกทั้งมีรถที่หมดค่าเสื่อมจำนวน 8 คัน รวมถึงมีการบริหารจัดการในด้านต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ของบริษัทปรับตัวลดลง และมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 81.25 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 23.38% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 71.75 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 23.85%
ขณะที่การประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/2561 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 15.64 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62.96% ของกำไรสุทธิปี 2560 โดยจะทำการกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล(Record Date) ในวันที่ 12 เม.ย. 61 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 30 เม.ย. 61 (ขออนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 2 เม.ย. 61 )
นายปิยะ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าใหม่อีก 3-4 ราย ในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก ที่มีความต้องการใช้รถเฉลี่ยรายละ 10 คัน โดยคาดว่าจะเห็นความจัดเจนในช่วงไตรมาส 1/61 นี้ และหากว่าได้มีข้อตกลงจากลูกค้าแล้ว บริษัทก็จะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง จากปัจจุบันบริษัทมีสัญญารอให้บริการ (Backlog) จำนวน 1,774 ล้านบาท โดยจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้ราว 370-380 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 65
สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/61 คาดว่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะดีกว่าช่วงไตรมาส 4/60 เนื่องจากบริษัทมีการให้บริการลูกค้าเพิ่มขึ้น