นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บมจ.ซุปเปอร์บล๊อก (SUPER) กล่าวว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการซื้อกิจการธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยจะเลือกลงทุนเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเท่านั้น ซึ่งมีประเทศกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มประเทศใน CLMV รวมถึงมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น จีน และออสเตรเลีย เพื่อผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานทดแทนในภูมิภาคเอเชียภายในปี 63 ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตอย่างน้อยปีละ 25% จากการขายไฟฟ้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และเตรียมพร้อมออกหุ้นกู้ 1,000 ล้านบาท ในเดือน มี.ค.61 จากวงเงินหุ้นกู้ที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท และยังเตรียมเสนอผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติออกหุ้นกู้อีก 36,000 ล้านบาทเพื่อปรับโครงสร้างต้นทุนทางการเงินครั้งใหญ่ และรองรับการขยายการลงทุนตามแผนงานของบริษัทฯและบริษัทในเครือ เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่ง และมั่นคง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 61 จะเป็นปีที่บริษัทฯขยายตัวอย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง ทั้งในส่วนของการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง
โดยในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม จ.สระแก้ว ขนาดกำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ( COD )ได้ในช่วงเดือน เม.ย.และโครงการโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ภาคการเกษตรในเฟสที่ 2 ขนาดกำลังการผลิต 28 เมกะวัตต์จะ COD ในช่วงไตรมาส 4/61
นอกจากนี้ SUPER ยังมีงานขายไฟฟ้าในโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP Hybrid Firm ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่บริษัทฯเข้าประมูลก่อนหน้าและผ่านการคัดเลือกโดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง 32 เมกะวัตต์ และมีปริมานการขายไฟฟ้า 16 เมกะวัตต์ นอกจากนั้นแล้วยังมีโครงการที่จะขายไฟฟ้าให้กับภาคเอกชน ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนผลประกอบการให้เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ปัจจุบัน SUPER มีกำลังการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่เริ่ม COD แล้ว 740.60 เมกะวัตต์ แต่หากเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างกำหนดวันจำหน่ายไฟฟ้าและงานที่ประมูลได้เพิ่มจากโรงไฟฟ้าสหกรณ์ฯ และ SPP Hybrid Firm จะทำให้มีกำลังติดตั้งกว่า800 เมกะวัตต์
ส่วนการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศระหว่างปี 61-62 บริษัทฯจะมุ่งเน้นการลงทุนในประเทศเวียดนาม ซึ่งบริษัทฯลงทุนร่วมกับพันธมิตรเวียดนาม ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 2 เพสแรกจำนวน 240 เมกะวัตต์ จากที่ได้ทำ MOA ไว้จำนวน 698 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2561 และคาดว่าจะ COD ในปี 2563 ผลักดันรายได้และกำไร เติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
นอกจากโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว SUPER ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะอยู่ในมืออีก 3 โครงการจำนวน 26 เมกะวัตต์ที่ได้ใบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว โดยโครงการแรกตั้งอยู่ที่จังหวัดสระแก้ว จำนวน 9 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟได้ประมาณเดือน มี.ค.61 นี้ ส่วนอีก 2 โครงการจำนวน 17 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเข้าพาณิชย์ได้ในปี 62 และ 63 ตามลำดับ
ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 60 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 1,511.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 989.47 ล้านบาท หรือเติบโต 189% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 522.21 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 5,510.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,898.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 52.57% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 3,611.60 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการรับรู้รายได้จากการขายไฟจากโครงการโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ภาคการเกษตรเฟส 1 รวม 64.70 เมกะวัตต์ ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ปลายปี2559 ซึ่งในปี 2560 รับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี
"ผลการดำเนินงานในปี2560 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับอานิสงส์จากการรับรู้รายได้โครงการโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ภาคการเกษตรในเฟส 1 ที่ค้างมาจากในช่วงกลางปีและปลายปี 59 ซึ่งในปี 60 รับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี ผนวกกับบริษัทฯสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กำไรในปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ"นายจอมทรัพย์ กล่าว