ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR) ที่ระดับ "BBB-" พร้อมทั้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น "Negative" หรือ "ลบ" จาก "Stable" หรือ "คงที่" โดยแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" สะท้อนถึงภาระหนี้ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง รวมถึงมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) และผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดของบริษัท
อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานในโครงการรับเหมาก่อสร้างที่หลากหลายของบริษัททั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่สูง ตลอดจนลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การแข่งขันที่รุนแรง และความเสี่ยงจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทที่ไม่เป็นไปตามแผน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต ผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับ สถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการที่อยู่ในระดับปานกลางเกิดจากการมีผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในด้านการดำเนินงานที่เป็นไปตามแผนและผลงานที่แล้วเสร็จ อีกทั้งบริษัทยังสามารถดำเนินโครงการงานก่อสร้างได้ทั้งสำหรับภาครัฐและภาคเอกชน โดยบริษัทจัดอยู่ใน 6 อันดับแรกของกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในแง่ของรายได้ต่อปีและขนาดของสินทรัพย์
บริษัทให้บริการงานก่อสร้างหลากหลายประเภท เช่น งานก่อสร้างอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม งานโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ท่าเรือ ระบบชลประทาน อุโมงค์ และงานดันท่อลอด เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จำนวนมากจากสัญญาสัมปทานโครงการขุดและขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ ระยะเวลา 9 ปีระหว่างปี 2552-2561 ภายใต้กิจการร่วมค้าเอ็นดับเบิ้ลยูอาร์-เอสบีซีซี (NWR-SBCC Joint Venture) โดยบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นในกิจการร่วมค้าจำนวน 50% อีกด้วย
มูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบอยู่ในระดับต่ำกว่าคาด บริษัทมีจำนวนสัญญางานใหม่ในปี 2560 น้อยกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทริสเรทติ้งจึงได้กำหนดแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น "Negative" หรือ "ลบ" ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมีมูลค่าสัญญาจ้างงานใหม่ที่ถือว่าต่ำเพียง 4,700 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทแพ้การประมูลงานโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา
การได้งานใหม่จำนวนน้อยจะส่งผลให้รายได้ในอนาคตของบริษัทต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงการขุดและขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2560 บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่า 11,000 ล้านบาทซึ่งเท่ากับระดับรายได้ของบริษัทเพียงปีเดียว
ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองในเชิงบวกสำหรับภาพรวมของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากการเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จำนวนมากของภาครัฐ ในส่วนของบริษัทนั้นมีโอกาสที่จะได้รับงานใหม่จากโครงการเหล่านี้ทั้งในฐานะที่เป็นผู้รับเหมาหลักหรือผู้รับเหมาช่วง หากบริษัทประสบความสำเร็จในการประมูลงาน โครงการจากสัญญาใหม่ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่างานในมือของบริษัทที่กำลังลดลงอย่างรวดเร็วได้
อันดับเครดิตยังคงมีข้อจำกัดจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้รับเหมาก่อสร้างซึ่งยังคงเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อระดับรายได้และกำไรของบริษัท
ความเสี่ยงจากการพัฒนาโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เป็นไปตามแผน บริษัทได้ขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มฐานรายได้ ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท เป็นผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยได้เปิดขายบ้านเดี่ยวจำนวน 2 โครงการและคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการด้วยมูลค่ารวมประมาณ 3,400 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ยอดขายโครงการบ้านเดี่ยวที่ล่าช้าส่งผลให้รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำและไม่เพียงพอที่จะสร้างผลกำไรให้แก่บริษัทได้
ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมาก บริษัทมานะพัฒนาการยังไม่ประสบความสำเร็จในการขายโครงการบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ซึ่งความสามารถในการขายโครงการที่อยู่อาศัยที่บริษัทพัฒนาไว้นั้นยังคงเป็นข้อสงสัยในความสามารถของบริษัท
ในการประเมินอันดับเครดิตจึงต้องพิจารณารวมไปถึงผลงานในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทที่ยังมีไม่มากนัก อีกทั้งความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เป็นไปตามแผนก็ยังคงเป็นประเด็นกังวลต่ออันดับเครดิตอีกด้วยเช่นกัน ในขณะที่ยอดขายในโครงการบ้านเดี่ยวยังต่ำกว่าเป้าหมาย บริษัทก็จำต้องแบกภาระต้นทุนทางการเงินของโครงการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในส่วนของทริสเรทติ้งก็ไม่ได้คาดว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะเติบโตอย่างมั่นคง
ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ต่ำกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยรายได้ของบริษัทอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประมาณการคือ 6,790 ล้านบาท ในการประเมินผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น ทริสเรทติ้งใช้วิธีการทางบัญชีแบบรวมผลการดำเนินงานตามสัดส่วนเพื่อสะท้อนผลประกอบการโดยรวมของบริษัท นั่นคือได้มีการรวมผลการดำเนินงานของกิจการร่วมค้าเอ็นดับเบิ้ลยูอาร์-เอสบีซีซีและความเสี่ยงที่บริษัทอาจได้รับจากกิจการร่วมค้าเข้าไว้ด้วย
เมื่อรวมรายได้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วน บริษัทจะมีรายได้รวม 7,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทรงตัวอยู่ที่ 7% และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 22% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ซึ่งระดับอัตรากำไรขั้นต้นดังกล่าวถือว่าต่ำกว่าบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งได้ประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นรวมของบริษัทไว้ที่ระดับ 7%-8% ทว่าอัตรากำไรขั้นต้นรวมที่แท้จริงของบริษัทอยู่ที่ระดับ 6.4%
อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทเท่ากับ 8.41% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ลดลงจาก 9.75% ในปี 2559 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเพื่อใช้ในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งส่งผลให้บริษัทรายงานผลขาดทุนจำนวน 66 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560
ภาระหนี้อยู่ในระดับสูง แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" ยังสะท้อนถึงภาระหนี้ที่สูงของบริษัทด้วย กล่าวคือ ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยระดับหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาตั้งแต่ปี 2557 เพื่อรองรับความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เนื่องจากรายงานงบการเงินของบริษัทไม่ได้สะท้อนภาระหนี้ทั้งหมด ดังนั้นในการประเมินอันดับเครดิต ทริสเรทติ้งจึงได้รวมภาระหนี้ของกิจการร่วมค้าเอ็นดับเบิ้ลยูอาร์-เอสบีซีซีเข้าไว้ด้วยเพื่อสะท้อนภาระหนี้ของบริษัทในฐานะผู้ร่วมลงทุนและผู้ค้ำประกัน
ณ เดือนกันยายน 2560 บริษัทมีภาระหนี้ทั้งหมด 5,029 ล้านบาทซึ่งรวมหนี้ของกิจการร่วมค้าตามสัดส่วนการลงทุนด้วย อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 57.75% ณ เดือนกันยายน 2560 นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับผลกระทบอย่างมากจากลูกหนี้ค้างชำระซึ่งส่งผลกดดันต่อกระแสเงินสดของบริษัทอีกด้วย
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทควรพยายามเสริมสร้างความสามารถในการทำกำไรให้แข็งแกร่ง โดยบริษัทควรลดต้นทุนในการดำเนินงานให้มาก ในอนาคตบริษัทจะยังคงมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูงหากบริษัทไม่สามารถบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้ดีขึ้นและเร่งการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้ได้ ทั้งนี้ รายได้หรืออัตรากำไรที่ลดลงอาจส่งผลเพิ่มความเสี่ยงต่อสถานะทางการเงินของบริษัท
สภาพคล่องค่อนข้างตึงตัว บริษัทมีสภาพคล่องที่ค่อนข้างตึงตัว โดยบริษัทมีเงินสดจำนวน 796 ล้านบาทและวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 932 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2560 ในขณะที่ภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 676 ล้านบาทและหุ้นกู้จำนวน 1,500 ล้านบาท บริษัทวางแผนจะชำระคืนหนี้ดังกล่าวด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงเงินกู้ยืมที่จะครบกำหนดชำระจำนวนมากดังกล่าวแล้ว ความเสี่ยงจากการชำระคืนหนี้ก็นับว่าเป็นประเด็นกังวลอีกประการหนึ่งของบริษัทด้วย
บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.5 เท่าเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของหุ้นกู้ โดยอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.13 เท่า ณ เดือนกันยายน 2560
แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนแอกว่าคาดและภาระหนี้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ในช่วง 3 ปีข้างหน้าสถานะทางการเงินของบริษัทน่าจะอ่อนแอลงเนื่องจากมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบลดลงและยอดขายอสังหาริมทรัพย์มีไม่มาก ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้เฉลี่ยของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับ 8,500 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 6%-9% ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 55%
อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประมาณการ หรืออัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับเกินกว่า 60% หรืออัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ในระดับต่ำกว่า 3 เท่า
แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับเปลี่ยนกลับไปเป็น "Stable" หรือ "คงที่" ได้หากผลการดำเนินงานและภาระหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นและอยู่ในระดับที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 50% หรืออัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ในระดับเกินกว่า 4 เท่า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากภาระหนี้สินของบริษัทคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงในขณะที่รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีสัดส่วนที่น้อย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลดลงของภาระหนี้จะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท
นอกจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอยิ่งขึ้นแล้ว อันดับเครดิตของบริษัทยังอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบได้หากบริษัทมีการขยายการลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก