นายหวัง วนาไพรสณฑ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แอ็พพลาย ดีบี (ADB) กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์และผลิตภัณฑ์กาวและยาแนวปี 61 คาดว่าจะขยายตัวได้ดีตามปริมาณความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้นหลังจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว บริษัทจึงตั้งเป้ายอดขายเติบโตจากปีก่อน 5-10%
โดยนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ADB ได้รับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ประเภทเม็ดพลาสติกพีวีซีเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการเดินเครื่องจักรที่ใช้ผลิตเม็ดพลาสติกคอมปาวด์เพิ่มขึ้นจนเต็มประสิทธิภาพ ปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างปรับเครื่องจักรกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ 1 สายการผลิตเพื่อเสริมกำลังการผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้
"เราต้องการสร้างยอดขายและผลักดันผลกำไรให้กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ หลังเล็งเห็นโอกาสจากปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าจากตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์และผลิตภัณฑ์กาวและยาแนว ขณะเดียวกัน เรายังปรับแผนเพื่อลดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นดีขึ้น ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินบาทผันผวน พร้อมทั้งศึกษาความต้องการใช้สินค้าเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต" นายหวัง กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 4/60 สามารถฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้รวม 330.48 ล้านบาท ลดลง 6.95% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 355.17 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 9.44 ล้านบาท และยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีก่อน
ปัจจัยการเติบโตมาจากความสามารถการทำกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น หลังบริษัทฯ ได้ปรับราคาสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ให้สอดคล้องกับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน และยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากการรุกขยายตลาดต่างประเทศ เช่น ทวีปเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และแถบตะวันออกกลาง ส่งผลให้มียอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 60 มีรายได้รวม 1,387.64 ล้านบาท ลดลง 2.90% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 29.04 ล้านบาท ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในช่วงฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขกำไรสุทธิยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ที่ 16-19 ล้านบาท และบริษัทได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการปรับขึ้นราคาสินค้าที่ได้รับคำสั่งซื้อใหม่ ตลอดจนกำหนดเงื่อนไขขอปรับขึ้นราคาสินค้าที่ต้องรอส่งมอบนานเกินกว่า 3 เดือนให้สอดคล้องกับต้นทุนวัตถุดิบที่แท้จริง ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น