นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ตอบรับ Sentiment ลบจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ซึ่งอาจเป็นนโยบายกีดกันการค้า คาดว่าจะมีผลในสัปดาห์หน้า ทำให้หลายประเทศในเอเชียได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าดังกล่าวไปยังสหรัฐค่อนข้างมาก ส่วนไทยไม่ได้เป็นผู้ส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯเป็นหลัก
อนึ่ง สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% ในสัปดาห์หน้า โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐ
นอกจากนั้น ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลง 3 วันติดต่อกันด้วย เป็นแรงกดดันต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ดี ตลาดบ้านเราคงปรับตัวลงไม่มาก และอาจแข็งแกร่งกว่าภูมิภาค เนื่องจากปัจจัยในประเทศยังสนับสนุนภาพรวมการลงทุน เช่น เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดี และมีการจ่ายปันผลค่อนข้างดี ประกอบกับกำหนดจะจัดการเลือกตั้งไม่เกินเดือน ก.พ.62
พร้อมให้แนวรับ 1,820-1,825 ถัดไป 1,810 จุด ส่วนแนวต้าน 1,840 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (1 มี.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,608.98 จุด ร่วงลง 420.22 จุด (-1.68%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,677.67 จุด ลดลง 36.16 จุด (-1.33%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,180.56 จุด ลดลง 92.45 จุด (-1.27%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 433.15 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 384.49 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลดลง 8.34 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 50.83 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 25.30 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 34.31 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 66.50 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.05 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 20.79 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 ก.พ.61) 1,830.13 จุด ลดลง 0.26 จุด (-0.01%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,918.10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 ก.พ.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (1 มี.ค.61) ปิดที่ระดับ 60.99
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (1 มี.ค.61) ที่ 7.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.46 ตลาดกังวลสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม-จับตาเงินเฟ้อไทย
- ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือน ม.ค.2561 อยู่ที่ 113.7 มีการเติบโตอยู่ที่ 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 โดยสาขาบริการที่สำคัญมีการเติบโตที่ดีทั้งก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การขายปลีก
- รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.เป็นต้นไป ตลท.ได้ปรับรอบระยะเวลาชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจากปัจจุบันอยู่ที่ 3 วันทำการ (T+3) เป็น 2 วันทำการ (T+2) หลังจากได้เตรียมความพร้อม ทั้งการปรับปรุงเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และการทดสอบระบบร่วมกันทั้งอุตสาหกรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะช่วยให้นักลงทุนได้รับเงินและหุ้นเร็วขึ้นอีก 1 วัน และสามารถบริหารพอร์ตการลงทุนระหว่างประเทศได้สะดวกขึ้น
- รมว.พาณิชย์ เผยในปี 61 มีแผนเดินทางไปต่างประเทศเพื่อขยายการค้าและการลงทุนตามนโยบายหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้กระทรวงพาณิชย์ไปเจรจาการค้ากับต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น ฮ่องกง, รัสเซียและอิหร่านเพื่อกระชับความสัมพันธ์และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ของไทยด้วย
- ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 61 นี้ ททท.คาดว่าจะมีคนเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากหลังจากที่ประชุม ครม.ครั้งล่าสุดได้อนุมัติวันหยุดราชการเพิ่มอีก 1 วัน ทำให้ช่วงเทศกาลนี้มีวันหยุดยาวถึง 5 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 12-16 เม.ย.61 โดยคาดว่าจะมีคนเดินทางท่องเที่ยวมากกว่า 3,010,300 คน/ครั้ง เพิ่มขึ้น 12.10% จากปีก่อนที่มีคนเดินทาง 2,685,400 คน/ครั้ง สามารถสร้างรายได้มากกว่า 10,442.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.59% จากปีก่อนที่มีรายได้ 9,033.84 ล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- ADVANC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 220 บาท NVDR ซื้อหนักสุดในรอบ 6 เดือน ในงวด ก.พ.18 ที่ 1.9 พันลบ. ทำให้ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีสูงถึง 2.7 พันลบ. คิดเป็น 49% ของยอดซื้อสะสมทั้งปีก่อนที่ 5.4 พันลบ อีกทั้งยอด Short Sales ยังต่ำสุดในรอบ 8 เดือนที่ 412 ลบ.คิดเป็นครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ยรายเดือนช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดยน่าสนใจสุดในกลุ่มเพราะมีคลื่นความถี่พร้อม จึงไม่ต้องกังวลกับความไม่แน่นอนในการประมุลคลื่นขณะเดียวกัน การแข่งขันที่เริ่มลดลงยังส่งผลดีต่ออุตสาหกรรม และเอื้อต่อการทำกำไรมากขึ้นด้วย พร้อมคาดกำไรปีนี้ +9% Y-Y อยู่ที่ 3.3 หมื่นลบ. โตครั้งแรกในรอบ 3 ปี
- QH (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 3.85 บาท รายงานกำไรสุทธิ Q4/60 อยู่ที่ 905 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 19.7% QoQ แต่เติบโต 33.6% YoY และทั้งปี 60 มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 3.46 พันล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 17.4% YoY และสูงกว่าที่คาด 11.5% ที่ 3.1 พันล้านบาท โดยระดับ Gross Profit Margin อยู่ที่ 35% และสามารถปรับลดค่าใช้จ่าย SG&A ลงได้ต่ำกว่าที่คาดถึง 7.5% และเป็นการปรับตัวลดลงถึง 18% YoY พร้อมปรับคาดกำไรสุทธิปี 61 ลง 4% เป็น 3.56 พันล้านบาท แต่ปรับเพิ่มระดับ Gross Profit Margin ขึ้น และปรับลดค่าใช้จ่าย SG&A ลง 12.8%
- TPIPL (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 3 บาท ในแง่เฉพาะมูลค่าเงินลงทุน 70% ใน TPIPP ที่ราคาปิด 7.25 บาทจะมีค่าถึง 42,775 ล้านบาท (7.25*5,900) หรือ คิดเป็น 2.12 บาทต่อหุ้น มากกว่าราคาหุ้น TPIPL ในแง่ราคาหุ้นระยะสั้นถูกกดดันจาก Q1/61 แนวโน้มขาดทุนต่อ แต่จะเริ่มเห็นพัฒนาการด้านบวกหลังโรงไฟฟ้าเดินเครื่องเต็มที่ Q2/61 ช่วย TPIPL ฟื้นมีกำไร ในปี 61 จะรับรู้โรงไฟฟ้ารวม 440 MW ในครึ่งปีหลัง หรือเพิ่มขึ้น 220MW ธุรกิจไฟฟ้ากำไรเพิ่มเป็น 4,267 ล้านบาท เติบโต 65% ส่วนธุรกิจวัสดุก่อสร้างได้แรงหนุนโครงการภาครัฐบาลมากขึ้นครึ่งปีหลัง แต่คาดยังขาดทุนต่อ รวมแล้วในปีนี้กำไรจะดีขึ้นเป็น 1,544 ล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิม 3,008 ล้านบาท แต่ดีกว่าปีก่อนที่ขาดทุน 1,260 ล้านบาท