นายศุภจักร ไตรรัตโนภาส ประธานกรรมการบริหาร บมจ.นิปปอน แพ็ค (ประเทศไทย) (NPP) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ พร้อมเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ ภายใต้ชื่อ บมจ.เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) (NPPG) เพื่อให้สอดรับกับตัวธุรกิจที่จะปรับให้ธุรกิจอาหาร ขึ้นมาเป็นธุรกิจหลัก (Core Business) ในการสร้างรายได้และผลกำไร แทนธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก เนื่องจากบริษัทมองว่าธุรกิจประเภทอาหารสามารถสร้างอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ที่ดีให้กับบริษัทฯได้เพิ่มขึ้นอย่างเติบโตและมั่นคง ตามแผนยุทธ์ศาสตร์การขยายธุรกิจด้านอาหาร
ก่อนหน้านี้ NPP ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU)กับ บริษัท ซีพี บีแอนด์เอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ CP B&F ซึ่งบริษัทในเครือ กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ ในการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า อาทิ กาแฟ เครื่องดื่ม ขนม ไอศครีม ปิงซู ในการขยายช่องทางและเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจ
นอกจากนี้ NPP ยังเซ็น MOU เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด ร้านอาหาร A&W ในรูปแบบ Mini Store และ Kiosk ในสถานีให้บริการน้ำมันของ เชลล์ ประเทศไทย (Shell) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากได้มากขึ้น และคาดว่าในอนาคต NPP จะผนึกพันธมิตรในการเพิ่มช่องทางการขยายธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้น ส่วนจะเป็นสถานีให้บริการน้ำมันใดนั้นคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในเร็วๆนี้
นายศุภจักร ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ NPP ยังมีการศึกษาการขยายตลาดไปต่างประเทศ อาทิ ประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยจะมีการศึกษา และพัฒนาอาหารไทย เพื่อไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าขยายตลาดในประเทศจีนเป็นแห่งแรก ขณะเดียวกันมีแผนที่จะนำแบรนด์อาหารจากประเทศจีน เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย เช่นเดียวกัน ซึ่งหากดีลดังกล่าวแล้วเสร็จ ถือว่าเป็นการผนึกความแข็งแกร่งระหว่างผู้ประกอบการอาหารในประเทศจีน และ NPP ในการพัฒนาธุรกิจอาหารควบคู่ไปด้วยกัน
สำหรับกลยุทธ์การขยายช่องทางการตลาดของ NPP ภายหลังจากนี้ต่อไป ทั้งช่องทางในประเทศและต่างประเทศ จะดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้น เนื่องจากบริษัทฯตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำในการขยายตลาดอาหารสู่ตลาดทั่วภูมิภาคเอเชีย พร้อมทั้งมีแผนขยายร้านอาหาร A&W ให้ครบ จำนวน 100 สาขาภายในปี 62 ซึ่งจะเป็นการครบรอบ 100 ปี ของแบรนด์ A&W อีกด้วย ส่งผลให้ผลการดำเนินของบริษัทในปี 61 เติบโตแบบก้าวกระโดดได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าอาจจะมีการปรับโครงสร้างธุรกิจ และ spin off ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และมีการควบรวมกับบริษัทอื่น เพื่อให้มีความชัดเจนให้กับผู้ลงทุนว่าตัว NPPG เดิมจะเติมโตทางอาหารเป็นหลัก และจะแยกธุรกิจบรรจุภัณฑ์ต่างหาก ซึ่งปัจจุบันได้มีการศึกษาและเจรจากับ potential partner ในทุก ๆ ด้าน เพื่อทำ vision ให้เป็นรูปธรรมภายใน 1-2 ปีนี้
"ธุรกิจอาหารและธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ทั้งโครงสร้างทางการเงิน ทีมงานและ กลุ่มพันธมิตร แต่ทั้ง 2 ธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตในระดับสูงจากความแข็งแกร่งของบริษัท และกลุ่มพันธมิตร ซึ่งปัจจุบันมีการหารือกับพันธมิตรใหญ่ ๆ จากญี่ปุ่นและจีน ในการร่วมมือทางธุรกิจในทุกๆด้าน อาทิ การควบรวมกิจการเพื่อการเติบโต และยังช่วยในด้านการสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้นต่อไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น"นายศุภจักร กล่าว