นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาสิริ กรุ๊ป (THANA) เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายและรายได้ในไตรมาส 1/61 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 4/60 แต่จะต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากแนวโน้มในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ยังแรงซื้อที่อยู่อาศัยจากลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากจำนวนโครงการที่เปิดขายลดลง จึงอาจทำให้ยอดขายไม่ได้เข้ามามากนัก หลังปีก่อนบริษัทระบายสต๊อกออกไปค่อนข้างมากแล้ว และยังไม่มีแผนเปิดโครงการใหม่ ประกอบกับ ไตรมาส 1/60 บริษัทเริ่มรุกเข้าไปทำโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้มีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมและซื้อโครงการของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้สามารถสร้างยอดขายในระดับสูง
ขณะที่ทั้งปี 61 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 15-20% จากปี 60 มียอดขาย 986 ล้านบาท
ในแง่ของรายได้ บริษัทจะรับรู้ยอดขายรอโอน (Backlog) ในไตรมาส 1/61 ราว 60-70% จาก Backlog ทั้งหมด 300 ล้านบาท แต่มั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายเติบโต 10-20% จากปีก่อนมีรายได้ 828 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมาเป็น 900-1,000 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งบริษัทยังเน้นการระบายสต๊อกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สินค้าที่พัฒนาแล้วรอการขายกลับเข้ามาเป็นรายได้ โดยเน้นกลุ่มทาวน์เฮาส์ที่มีมูลค่าเหลือขายกว่า 300 ล้านบาท และรองรับการพัฒนาโครงการที่ตรงกลุ่มเป้าหมายใหม่ในปีนี้
"ปีนี้การระบายสต๊อกของโครงการทาวน์เฮาส์อาจจะส่งผลกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทให้ลดลงจากปีก่อนที่ 32.1% เล็กน้อย เพราะทาวน์เฮาส์เป็นสินค้าที่ราคาไม่สูงและให้กำไรไม่มาก รวมถึงการระบาบสต๊อกยังมีค่าใช้จ่ายการตลาดอื่นๆที่เข้ามา ทำให้อาจจะมีผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น แต่เราก็จะหาวิธีการอื่นๆที่ไม่ให้มีผลกระทบต่อกำไรของบริษัท ซึ่งปีนี้เราก็พยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆให้ลดลง การโฆษณาประชาสัมพันธ์เราก็ไม่ใช้งบมากเหมือนปีก่อนแล้ว และการพัฒนาโครงการก็จะขยับขึ้นไปใน Segment ระดับบนมากขึ้น ซึ่งยังมีช่องว่างในการทำตลาดและเป็นกลุ่มสินค้าที่ให้มาร์จิ้นที่สูงขึ้น"นายสุทธิรักษ์ กล่าว
สำหรับแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับบน ราคาขายเฉลี่ยมากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป เจาะกลุ่มลูกค้ารายได้เฉลี่ย 150,000-200,000 บาท/เดือน โดยจะเป็นทำเลกรุงเทพตะวันตกที่เข้าใกล้เมืองมากขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่าทิศทางของตลาดที่อยู่อ่าศัยแนวรายบระดับบนยังมีการเติบโตที่ดี และปัจจจุบันกลุ่มคนที่มีครอบครัวขยายขึ้น เริ่มมองหาที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบมากขึ้นเพื่อการมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น
อีกทั้งกลุ่มตลาดระดับบนยังมีช่องว่างการตลาดที่บริษัทสามารถเข้าไปเจาะตลาดได้และมีการแข่งขันที่ไม่รุนแรง รวมถึงมีความต้องการใช้สินเชื่อไม่มาก ทำให้มีความเสี่ยงในแง่การปฏิเสธสินเชื่อที่น้อยมาก ส่งผลต่อการพัฒนาโครงการต่อไปในอนาคตจะไปเน้นกลุ่มลุกค้าระดับรายได้ 150,000-200,000 บาท/เดือนมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน 20-30% และตั้งเป้าหมายจะเพิ่มเป็นมากกว่า 50% ในช่วง 1-2 ปีนี้ จากปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในกล่มรายได้เฉลี่ย 80,000 บาท/เดือน โดยโครงการใหม่ในปีนี้ 2 โครงการจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 61
ด้านงบลงทุนของบริษัทในปีนี้ตั้งไว้ที่ 500-800 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปี 62 โดยเงินลงทุนที่ใช่ส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดของบริษัท
ส่วนการพัฒนาที่ดินในภูเก็ต 105 ไร่ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการการเจรจากับพันธมิตรที่สนใจเข้ามาร่วมทุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ 2-3 ราย รูปแบบการพัฒนาเป็นโครงการมิกส์ยูสที่ประกอบด้วย วิลล่า คอนโดมิเนียม และศูนย์การค้า คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 2/61 ขณะเดียวกันบริษัทอาจขายที่ดินดังกล่าวบางส่วนออกไปให้ผู้สนใจเพื่อให้มีความคึกคักและหลากหลายมากขึ้น