นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดแผนธุรกิจ 3 ปี (61-63) ตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10-12% โดยคาดว่าในปี 63 จะมีรายได้รวมที่ 2,000 ล้านบาท ตามการเติบโตของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และสัดส่วนกำไร แบ่งตามกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ 35% ธุรกิจพลังงาน 35% บริษัทย่อย Planet Board 30%
ขณะนี้ Planet Board ที่บริษัทเข้าถือหุ้น 57% อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนและเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นไม้เอ็มดีเอฟและไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด
นายอารักษ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้เติบโตเป็นไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-12% โดยจะรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 5-6% ซึ่งการเติบโตจะมาจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาช่องทางการขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการหาแนวทางสร้างกำไร ลดต้นทุนด้านการบริหารจัดการให้ลดลง
"บริษัทมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน ทั้งรายได้จากธุรกิจหลักผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ คาดว่าจะเติบโตที่ 10-12 % ประกอบกับรายได้ต่าง ๆ ที่จะทยอยรับรู้ในปีนี้จากบริษัทย่อย บริษัทร่วม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้รายได้ของบริษัทมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง" นายอารักษ์ กล่าว
นายอารักษ์ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในปีนี้คาดว่าแนวโน้มจะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งจะขยายฐานลูกค้าครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ โดยจะใช้แบรนด์ COSTA ในการรุกตลาดผ่านช่องทางร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาค และบริษัทยังมีโอกาสสร้างการเติบโตของยอดขายจากออร์เดอร์ที่มากขึ้นตามการขยายสาขาของลูกค้ากลุ่มโมเดิร์นเทรด
ส่วนตลาดต่างประเทศ บริษัทฯ ยังคงได้รับออเดอร์จากลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เพิ่มขึ้นเป็น 10% จากเดิม 5%
ด้านธุรกิจพลังงาน จะมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในปีนี้ หลังจากโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 7.5 เมกะวัตต์ จ.นราธิวาส เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ท่ำให้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรมาตั้งแต่ไตรมาส 3/60 จำนวน 6.7 ล้านบาท และไตรมาส 4/60 ที่ผ่านมา จำนวน 8.8 ล้านบาท
และโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังการผลิตโรงละ 1 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โรงใน จ.แพร่ คาดว่าจะ COD ได้ในเดือน เม.ย. 61 และเดือน ธ.ค. 61 ตามลำดับ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้ามินบู ขนาด 220 เมกะวัตต์ ประเทศเมียนมาร์ เฟสแรกจะเริ่มรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 50 เมกะวัตต์ ล่าสุดได้นำเข้าแผงโซลาร์สำหรับเฟสแรกมาครบแล้วอยู่ระหว่างรอการติดตั้ง โดยเมื่อก่อสร้างเฟส 1 แล้วเสร็จก็จะสร้างเฟส 2 ต่อทันที
นายอารักษ์ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 500-600 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้ลงทุนในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ราว 300 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินเพิ่ม 5 ไร่และก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มรองรับการผลิตและออเดอร์ที่เพิ่มขึ้น โดยจะมีความจุราว 40 ตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงจะสร้างโรงงานสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มชุดเตียงนอนและห้องนอน คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ ตั้งเป้าสร้างรายได้ราว 200-240 ล้านบาท/ปี เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/61
ส่วนที่เหลือจะใช้ลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน โดยบริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิต 10-20 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม กำลังการผลิต 2-3 เมกะวัตต์ จำนวนรวม 3 โครงการ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในรายละเอียดราวไตรมาส 2/61 โดยความคืบหน้าเบื้องต้นโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลมีการเจรจาไปแล้วกว่า 70% และโรงไฟฟ้าโซลาร์ ราว 60%
พร้อมกันนี้นอกเหนือจากธุรกิจดังกล่าว บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อลงทุนในโครงการใหม่อีก 2-3 โครงการใหม่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในเดือน เม.ย.หรือ พ.ค.นี้จำนวน 1 โครงการ
สำหรับความคืบหน้าการนำ บริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (SAFE) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในธุรกิจพลังงาน โดย ECF ถือหุ้นอยู่ 33.37% นั้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลาด mai ประมาณในช่วงปลายปี 62 หรือต้นปี 63 บริษัทฯ จะมีการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ในวันที่ 29 มี.ค.61 เพื่อหารือแนวทางในเรื่องดังกล่าว