ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม ของ GLOBAL ที่ "A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 7, 2018 14:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ที่ระดับ "A-" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ตลอดจนความสำเร็จในการขยายสาขาร้านค้าในรูปแบบคลังสินค้าในพื้นที่ต่างจังหวัด และการเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าจากร้านค้าปลีกแบบเก่ามาเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงจากการที่บริษัทมีวงจรเงินสดที่ค่อนข้างยาว รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน และฐานลูกค้าหลักที่อยู่ต่างจังหวัดซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงราคาพืชผลทางการเกษตร

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต ได้แก่ ประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน บริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการค้าปลีกชั้นนำของไทยที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขาทั้งหมด 55 แห่งกระจายตัวทั่วประเทศ โดยทุกสาขาตั้งอยู่ในเขตต่างจังหวัดทั้งหมด ประมาณ 40% ของจำนวนสาขาทั้งหมดของบริษัทตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนสาขาที่เหลืออยู่ในภาคอื่นๆ ของประเทศยกเว้น กรุงเทพฯ

เจาะตลาดโดยใช้รูปแบบร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ บริษัทมีกลยุทธ์หลักโดยการจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่หลากหลายแก่ลูกค้ารวมถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และสินค้าตกแต่งบ้าน โดยสาขาของบริษัทมีการจัดรูปแบบร้านค้าในแนวคลังสินค้าขนาดใหญ่ด้วยพื้นที่ขายเฉลี่ยต่อสาขาขนาด 20,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้าของบ้านและกลุ่มผู้รับเหมา ร้านค้าแต่ละแห่งมีการแบ่งพื้นที่ให้บริการออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ลูกค้าสามารถเดินเลือกซื้อสินค้าได้ตามความต้องการและอีกส่วนหนึ่งลูกค้าสามารถนำรถเข้ามาจอดเพื่อเลือกซื้อสินค้าได้ในบริเวณด้านหลังของร้าน ร้านค้าของบริษัทจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับบ้านมากกว่า 100,000 รายการ ซึ่งนอกเหนือจากการเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าแล้ว การที่บริษัทมีรูปแบบร้านที่มีขนาดใหญ่ยังทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดและการมีต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงด้วย

การเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ จากผลของการขยายตัวของเมือง ผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านจึงมีการขยายตัวแทนที่ร้านค้าปลีกสินค้าแบบเก่า จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่าในปี 2560 ธุรกิจภาคค้าส่งค้าปลีกในประเทศไทยเติบโต 6.3% ในขณะที่รายได้รวมของบริษัทเติบโตขึ้น 10.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจ ในส่วนของบริษัทนั้นในระหว่างปี 2552-2560 มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องจาก 8 สาขาในปี 2552 เป็น 55 สาขาในปี 2560 ในขณะที่รายได้รวมของบริษัท เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากปี 2552 มาอยู่ที่ระดับ 20,831 ล้านบาทในปี 2560 ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าที่มีอย่างต่อเนื่องจะช่วยสนับสนุนแผนการเปิดสาขาใหม่ปีละ 8 แห่งของบริษัท

การขยายสาขาไปต่างประเทศ บริษัทมีการขยายสาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วยโดยบริษัทกำลังจะเปิดสาขาแรกในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 โดยสาขาแรกในประเทศกัมพูชาจะมีรูปแบบร้านค้าเหมือนในประเทศไทยด้วยพื้นที่ขายขนาด 27,000 ตร.ม. บริษัทใช้เงินลงทุนในประเทศกัมพูชาประมาณ 200 ล้านบาท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 บริษัทยังได้ประกาศร่วมทุนกับกลุ่ม Tan Hoang Minh ซึ่งเป็นกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศเวียดนาม ในการนี้บริษัทจะถือหุ้น 55% ในกิจการร่วมทุนที่ประเทศเวียดนามและจะใช้เงินจดทะเบียนเริ่มต้นจำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

รายได้จากราคาพืชผลทางการเกษตรที่อยู่ระดับต่ำส่งผลทำให้ยอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทหดตัว เนื่องจากสาขาส่วนใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ในเขตต่างจังหวัด ยอดขายรวมของบริษัทจึงได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่อยู่ระดับต่ำในเขตพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ รายงานของ สศช. ระบุว่าอัตราการเติบโตของดัชนีค้าปลีกของร้านขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับให้แสงสว่าง และของใช้อื่น ๆ ในครัวเรือนลดลง 3.3% ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2560 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวที่ค่อนข้างช้าของการบริโภคภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทจะปรับตัวลดลง 4.8% ในปี 2560 แต่รายได้รวมของบริษัทยังคงเติบโต 10.5% จากการเปิดสาขาใหม่ในปี 2559 และปี 2560 จำนวนทั้งสิ้น 17 สาขา ในอนาคตบริษัทวางแผนจะเปิดสาขาใหม่ปีละ 8 สาขาในช่วงปี 2561-2563

สินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัททำให้อัตรากำไรปรับตัวดีขึ้น อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจในปี 2560 โดยอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงแข็งแรงที่ระดับ 20.6% ในปี 2560 สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 11.9% ในปี 2559 เป็น 13.8% ในปี 2560 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายยังคงอยู่ในระดับที่ดีที่ 13.9% ซึ่งเกิดจากสัดส่วนกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทและสินค้านำเข้าซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าสินค้าภายใต้ตราสินค้าอื่นในท้องตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 14% ของยอดขายรวมของบริษัทในปี 2560 จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 12%-13% ในช่วงปี 2558-2559 ในอนาคตบริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของรายได้จากสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเองต่อรายได้รวมให้เป็น 15% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานของ

ทริสเรทติ้งประมาณการณ์ว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 13%-15% ในช่วงปี 2561-2563

บริษัทมีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนสำหรับสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น บริษัทมีการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังสูงกว่ายอดขายของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมีการบริหารสินค้าคงคลังได้ดีในปี 2556-2558 โดยมีระยะเวลาเก็บสินค้าต่ำกว่า 200 วัน อย่างไรก็ตาม ระดับสินค้าคงคลังของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงปี 2559-2560 โดยมีระยะเวลาเก็บสินค้าเกิน 250 วัน ซึ่งหมายความว่าบริษัทต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนประมาณ 3,000 ล้านบาทสำหรับสินค้าคงคลังที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ศูนย์กระจายสินค้าของบริษัทที่เปิดดำเนินการแล้วในปี 2560 น่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้าคงคลังของบริษัทได้

ระดับการก่อหนี้ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่กระแสเงินสดของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ดี บริษัทมีการเปิดสาขา 5-9 แห่งต่อปีในช่วงปี 2556-2560 ตามกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท และในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 8 แห่งซึ่งต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาทต่อปีและต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนประมาณ 2,500-2,800 ล้านบาทต่อปี ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 2,600-3,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 บริษัทอาจต้องการใช้เงินกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจด้วย อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 47.6% ณ สิ้นปี 2560 อย่างไรก็ตาม เงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ดี อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทก็คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ 10-15 เท่าในช่วงปี 2561-2563 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะยังคงอยู่ในระดับประมาณ 20% ในช่วงเวลาเดียวกัน

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านได้ต่อไป พร้อมทั้งคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมต้นทุนและรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ในขณะที่มีการขยายสาขา

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยการลดวงจรเงินสดและเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงสามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรและรักษาเงินสดส่วนเกินที่รองรับการชำระหนี้ให้อยู่ระดับที่ดี ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือระดับหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งจะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ