บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) ที่ระดับ "A-" รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ระดับ "A-" และหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ชุดปัจจุบันที่ระดับ "BBB" ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของธนาคารที่ระดับ "A-" ด้วย
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของธนาคารที่แข็งแกร่งขึ้นจากการรวมการดำเนินธุรกิจตลาดทุนและธุรกิจธนาคารพาณิชย์เข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดให้แก่ธนาคารในตลาดเฉพาะกลุ่มที่มุ่งเน้นธุรกิจที่สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมเป็นหลัก การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความหลากหลายของแหล่งรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายได้ที่ไม่ได้มาจากการให้สินเชื่อ และฐานเงินทุนที่มีความแข็งแกร่งของธนาคารด้วย อย่างไรก็ตามอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการที่ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อและเงินรับฝากที่มีขนาดเล็ก ตลอดจนความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนที่มีค่อนข้างจำกัด
KKP เป็นธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดเล็กซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์เป็นอันดับ 10 จากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้ง 11 แห่ง ธนาคารมีส่วนแบ่งในตลาดสินเชื่อ 1.7% และเงินรับฝาก 1.2%
ณ เดือนกันยายน 2560 ธนาคารมีแหล่งรายได้ที่กระจายตัว โดยมีสัดส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 61.8% และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ 23.6% ในปี 2560 กลยุทธ์ของธนาคารคือการเพิ่มรายได้จากธุรกิจที่มุ่งเน้นรายได้จากค่าธรรมเนียม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจบริการทางการเงินแก่ลูกค้าบุคคลรายใหญ่ (Private Banking) นอกจากนี้ ธนาคารยังมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจวาณิชธนกิจและธุรกิจหลักทรัพย์อีกด้วย
ธนาคารมีสถานะเงินทุนที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐาน Basel-III อยู่ที่ระดับ 17.7% ณ เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งประมาณ 83% ของเงินกองทุนรวมประกอบด้วยเงินกองทุนชั้นที่ 1 ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย โดยมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.3% ในปี 2560
คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการมีต้นทุนทางเครดิตที่ระดับ 0.8% ในปี 2560 ซึ่งลดลงจากจุดสูงสุดที่ 2.8% ในปี 2557 อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-performing Loan (NPL) Coverage Ratio) ของธนาคารปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 109.6% ณ สิ้นปี 2560 จาก 80.3% ณ สิ้นปี 2557 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมก็ลดลงเหลือ 5% ณ สิ้นปี 2560 จาก 5.8% ณ สิ้นปี 2558 ในขณะที่สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยและธุรกิจก่อสร้างยังคงมีสัดส่วนของสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับสูง
ธนาคารมีการพึ่งพาการกู้ยืมค่อนข้างมาก โดยแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมนั้นถือว่าไม่มั่นคงและมีต้นทุนค่อนข้างสูง ธนาคารมีอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากซึ่งรวมตั๋วแลกเงินอยู่ที่ระดับ 145.3% ณ สิ้นปี 2560 ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ในขณะที่สัดส่วนของบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (Current Account and Savings Account – CASA) ต่อเงินฝากซึ่งรวมตั๋วแลกเงิน (Bills of Exchanges) อยู่ที่ระดับ 40.6% นั้นถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะยังคงสถานะทางธุรกิจได้ต่อไปบนพื้นฐานความแข็งแกร่งในธุรกิจที่เน้นรายได้จากค่าธรรมเนียม รวมทั้งจากการมีสถานะเงินทุนและการทำกำไรที่มีความเข้มแข็ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โดยอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากความสามารถในการทำกำไรของธนาคารลดลงอย่างมากอย่างต่อเนื่อง หรือคุณภาพพอร์ตสินเชื่อของธนาคารถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของธนาคารในการเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากค่าธรรมเนียม หรือในกรณีที่ธนาคารมีความสามารถในการระดมเงินจากแหล่งเงินทุนเพิ่มได้อย่างมีนัยสำคัญ