นายปฏิภาณ สุคนธมาน ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลาย บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเพิ่มยอดขายเม็ดพลาสติกเข้าสู่ตลาด CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ราว 15% ในปีนี้ จากปีที่แล้วที่ปริมาณขายเติบโตราว 10% โดยให้น้ำหนักในเวียดนามและเมียนมา ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่มีศักยภาพของการเติบโตค่อนข้างมาก ขณะที่วางแผนใน 5-7 ปีข้างหน้าการขายเม็ดพลาสติกในพื้นที่ CLMV ,ไทย และอินโดนีเซีย จะมีสัดส่วน 70% ของกำลังการผลิตโพลีเอทิลีน (PE) ของบริษัท จากปัจจุบันอยู่ในระดับ 50%
"ตลาดเป้าหมายของเราคือ CLMV+T และอินโดนีเซีย โดย T (Thailand) อย่างไรก็ต้องมีความสำคัญ เพราะเป็นตลาดบ้านเรา เป็นตลาดที่น่าจะมีพรีเมียมหรือมีกำไร ส่วนตลาดในจีนจะลดลงเพราะเราต้องการกระจายตลาดของเราให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม วาง strategy ในเชิงบุกและเชิงรับ ถ้าเราไม่วาง strategy พวกนี้ วันหนึ่งถ้าความต้องการของจีนลดลง ตลาดหายไปเราเข้ามาขายในประเทศพวกนี้ก็ช้าไป"นายปฏิภาณ กล่าว
นายปฏิภาณ กล่าวว่า การรุกตลาด CLMV ของบริษัทในขณะนี้ไม่ได้หมายถึงการลงทุนขนาดใหญ่ แต่เป็นการขยายตลาดเพื่อยึดหัวหาดของตลาด เพราะความต้องการของตลาด CLMV เติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะเวียดนามที่การใช้เม็ดพลาสติก PE มีเกือบ 1 ล้านตัน/ปี ,เมียนมา ราว 1 แสนตัน/ปี ส่วนลาวและกัมพูชา ยังมีความต้องการไม่มากนัก ดังนั้น เวียดนามและเมียนมา เป็นประเทศที่ต้องจับตาอย่างมากเพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งหมายถึงเมื่อประเทศเหล่านี้พร้อมก็จะต้องการสร้างกำลังการผลิตเป็นของตัวเอง หากบริษัทสามารถทำตลาดได้ก่อนก็จะทำให้โอกาสถูกแย่งตลาดมีน้อยลง
สำหรับการเข้าไปรุกตลาด CLMV ได้แก่ การขายเม็ดพลาสติกเข้าสู่ดีลเลอร์ หรือผู้ใช้เม็ดพลาสติกโดยตรง หรือการชักชวนลูกค้าในประเทศที่มีความแข็งแกร่งเข้าไปลงทุนในประเทศเป้าหมาย ซึ่งบริษัทก็พร้อมให้การสนับสนุนทั้งในรูปของการร่วมทุน หรือทำสัญญาป้อนเม็ดพลาสติกให้ในระยะยาว ซึ่งในส่วนของเมียนมาก็มีแล้ว 2-3 ราย และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ก็มีบางรายที่อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด ,การจัดงานนิทรรศการเกี่ยวกับเม็ดพลาสติก โดยจะมีการช่วยจับคู่ทางธุรกิจให้กับลูกค้า ,การเปิดสำนักงานขาย และคลังสินค้า เป็นต้น
สำหรับปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในเมียนมาเกือบ 30% จากความต้องการเกือบ 1 แสนตัน/ปี และมีส่วนแบ่งตลาดเวียดนามราว 20% ของความต้องการเกือบ 1 ล้านตัน/ปี หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดของบริษัทราว 30% ในตลาด CLMV ซึ่งปัจจุบันการขายไปยังตลาด CLMV ยังเป็นสินค้าเม็ดพลาสติกประเภท PE แต่ในอนาคตก็จะขยายไปยังเม็ดพลาสติกประเภทอื่น ๆ มากขึ้น เพราะวันนี้การผลิต PE ของบริษัทมีปริมาณมาก 1.9 ล้านตัน/ปีก็ต้องผลักดันสินค้า PE ออกไปก่อน
ด้านตลาดในอินโดนีเซียมีความต้องการใช้เม็ดพลาสติกเติบโต 8-9% ต่อปี จากปกติความต้องการใช้เม็ดพลาสติกของแต่ละประเทศจะเติบโตแค่ 3-4% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งล่าสุดบริษัทเตรียมที่จะเข้าไปเปิดสำนักงานขายเม็ดพลาสติกในอินโดนีเซียในปีนี้ จากปัจจุบันที่บริษัทเปิดสำนักงานขายแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ จีน 2 แห่ง ,ดูไบ 1 แห่ง และเวียดนาม 1 แห่ง ขณะที่มีแผนจะเข้าไปเปิดสำนักงานตัวแทนขายในเมียนมา ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ภายในปลายปีนี้
ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่ใน CLMV ของบริษัทขณะนี้ยังไม่มี เนื่องจากจะต้องมีความมั่นใจว่าจะต้องมีอุตสาหกรรมต้นน้ำเกิดขึ้นก่อน เช่น ในเมียนมา ที่บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เข้าไปลงทุนในแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมก่อนหน้านี้ และหากทางกลุ่มบมจ.ปตท. (PTT) จะมีการลงทุนต่อยอดไปถึงโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หรือลงทุนในด้านโรงกลั่นน้ำมัน ก็จะทำให้บริษัทมีวัตถุดิบเพื่อมาใช้ผลิตปิโตรเคมี แต่ปัจจุบันยังไม่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำ แต่ก็มองว่าในอนาคตหากมีความพร้อมทางเมียนมาก็อาจจะพิจารณาให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมต้นน้ำดังกล่าวได้
ด้านเวียดนามก็มีการขยายโรงกลั่นน้ำมัน และมีแผนจะเริ่มก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีแห่งแรกที่มาจากเครือซิเมนต์ไทย ก็จะทำให้เวียดนามเป็นตลาดที่น่าสนใจ หากมีโอกาสลงทุนด้านปิโตรเคมีครบวงจรก็พร้อมที่จะลงทุน แต่ก็ต้องหาพันธมิตรเข้าไปลงทุนด้วย