นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST มองหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (12-16 มี.ค.) ว่า ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวบวกขึ้น หลังตลาดหุ้นปรับตัวลงไปมาก (technical rebound) ในช่วงสัปดาห์ก่อน ปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศทั้งเรื่องดอกเบี้ย และการขึ้นภาษีเหล็กและอนูมิเนียมของสหรัฐฯ มีการคลี่คลายลง แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามท่าทีของประเทศต่าง ๆ ว่าจะตอบรับต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯอย่างไร ขณะที่แรงขายหุ้นขนาดใหญ่อาจมีน้อยลงหลังถูกเทขายมามากในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ปัจจัยสำคัญที่ควรติดตาม คือในเรื่องท่าทีจากประเทศต่าง ๆต่อมาตรการของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ รวมทั้งการประกาศตัวเลขดัชนีเงินเฟ้อของสหรัฐฯในวันที่ 13 มี.ค.
โดยกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ยังคงแนะให้นักลงทุนพิจารณาขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามากและขาดปัจจัยบวกเฉพาะตัว และโยกหุ้นจากกลุ่มเสี่ยงที่ถูกขายมาเน้นที่หุ้นที่ Valuation ดี ๆ หรือหุ้น Defensive ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อเตรียมรับการปรับตัวขึ้น (rebound) ของดัชนี ซึ่งในสัปดาห์นี้ KTBST ยังเน้นทั้งหุ้นที่มี Valuation ดี หรือมีความเป็น laggard เช่น PTTGC , CPALL, SCC , BGRIM รวมถึงหุ้นมีความเด่นเฉพาะตัว คือ TVO และหุ้นที่ราคาลงมามาก หรือมีแรงซื้อเข้ามาจนดูน่าสนใจ คือ BEC , BEM และ TOA คาดกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีฯสัปดาห์นี้อยู่ที่ 1,750-1,790 จุด
ทั้งนี้ปัจจัยในประเทศสำคัญที่ต้องติดตาม คือ แรงขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในสัปดาห์นี้เริ่มชะลอในตลาดเอเซีย เป็นเพราะตอบรับต่อทิศทางดอกเบี้ยและนโยบายภาษีที่ดูเป็นลบน้อยลง แต่ตลาดหุ้นไทย นักลงทุนกลุ่มนี้ยังมีแรงขายอยู่บ้างเนื่องด้วยราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับขึ้นไปมากและมีการขายทำกำไรเข้ามาในตลาด
ขณะที่ราคาหุ้น PTT ยังผันผวนมีสลับบวก-ลบ ซึ่งมีผลต่อทิศทางดัชนีฯในแต่ละวัน หากคิดหักลบการปรับขึ้นของหุ้น PTT ตั้งแต่วันที่ประกาศแตกพาร์ ที่มีผลต่อดัชนีฯประมาณ 12 จุดออกไป จะพบว่าดัชนีฯวันนี้จะอยู่ที่ 1,762 จุด หรือมีการปรับฐานมาระยะหนึ่งแล้ว
นอกจากนี้ต้องติดตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าสัปดาห์นี้มีโอกาสที่โครงการรถไฟทางคู่สายเชียงใหม่-เด่นชัย มูลค่ารวมประมาณ 85,000 ล้านบาทเข้าที่ประชุม ครม. หลังจากรมว. คมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่าภายในเดือน มี.ค.-เม.ย. จะมีโครงการมูลค่ารวม 170,000 ล้านบาทเข้าที่ประชุมครม.