นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวว่า ดัชนี SET Index ในเดือนมี.ค. 61 ตามผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 1,818 จุด รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยที่อยู่ในระดับที่ดี และความเชื่อมั่นที่ดีต่อเศรษฐกิจไทย รวมถึงราคาปิโตรเคมีที่สูงขึ้นยังช่วยหนุนหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีให้ปรับตัวขึ้นด้วย
ส่วนปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดทุนไทย มองว่าเป็นทิศทางของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ทิศทางของกระแสเงินทุนที่จะเข้าสู่ตลาดทุนไทยยังไม่มีทิศทางแน่นอน อีกทั้งยังมีการขายของนักลงทุนต่างชาติออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk) อย่างไรก็ตามในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยในประเทศคาดว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดทุนค่อนข้างน้อย แต่ยังเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตาม
ทั้งนี้ คาดว่าเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 61 อยู่ที่ 1,871 จุด ที่ระดับ P/E 16.56 เท่า ซึ่งจะอยู่ที่ระดับสูงสุด 1,910 จุด และระดับต่ำสุดที่ 1,727 จุด โดยภาพระยะยาวตลอดปี 61 มีปัจจัยที่ส่งผลบวก ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ เศรษฐกิจต่างประเทศ และปัจจัยด้านการเมืองและแนวโน้มจะมีการเลือกตั้งในประเทศ แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่เห็นความชัดเจนก็ตาม
ส่วนการประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดปีนี้อยู่ที่ 111.53 บาท หรือคิดเป็น EPS Growth เฉลี่ย 11.70% โดยมี 5 หุ้นเด่น ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและความต้องการสินเชื่อที่สูงขึ้น ,บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) มีปัจจัยหนุนจากการบริโภคและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้นต่อเนื่อง หลังจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) มีแนวโน้มกำไรที่โตอย่างโดดเด่น จากการขยายโรงแรมอย่างต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวในประเทศที่เติบโตได้ดีต่อเนื่อง, ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีปัจจัยหนุนเช่นเดียวกับ BBL จากเศรษฐกิจไทยที่โตขึ้น การลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีความต้องการใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้น
และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ที่เป็นหุ้นอ้างอิงการเติบโตตามเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการได้ประโยชน์จากการขยายกำลังการผลิต พร้อมแนวโน้มของกำไรในไตรมาส 1/61 ที่คาดว่าจะออกมาแข็งแกร่ง จากส่วนต่างปิโตรเคมีที่สูงขึ้น และอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ