โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) หลังมองผลงานปี 61 เติบโตได้ดี จากคาดรายได้เติบโตเป็น 2 เท่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จากแนวโน้มจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากโรคระบาดที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องจากปีก่อน อาทิ ไวรัสโรต้า และไข้หวัดใหญ่ อีกทั้งคาดว่าจะมีผู้ป่วยต่างชาติเข้าใช้บริการมากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน BDMS มีแผนขยายโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้มีเครือข่ายโรงพยาบาลมากที่สุดในประเทศ และใช้ประโยชน์จาก Capacity ที่เหลืออยู่ในการสร้างรายได้และกำไร และทำให้ EBITDA Margin เพิ่มขึ้น
พักเที่ยงราคาหุ้น BDMS อยู่ที่ 22.90 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ 0.87% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 1.12%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
ฟิลลิป (ประเทศไทย) ทยอยซื้อ 24.70
ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 26.00
หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 24.50
เออีซี ซื้อ 23.00
เคจีไอ (ประเทศไทย) Outperform 25.00
เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 25.00
นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดว่าภาพรวมผลการดำเนินงานของ BDMS ในปี 61 จะขยายตัวจากปีก่อน หลังกำไรจากการดำเนินงานจะเติบโต 8% จากแนวโน้มจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มกลุ่มลูกค้าประกันใหม่ ๆ จากการร่วมมือกับบริษัทประกันสุขภาพ ขณะที่ก่อสร้างโครงการ BDMS Wellness Clinic ล่าช้าทำให้เลื่อนเปิดโครงการไปเป็นต้นปี 62 ทำให้มีค่าใช้จ่ายทางการเงินในปีนี้ลดลง
นอกจากนี้ มองว่าผลประกอบการไตรมาส 1/61 น่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสที่ผ่านมา จากโรคระบาดที่เข้ามาช่วงต้นปี เช่น ไวรัสโรต้า และไข้หวัดใหญ่ ทำให้คาดว่าแนวโน้มลูกค้าต่างชาติน่าจะเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แนะนำ"ทยอยซื้อ"หุ้น BDMS เนื่องจากราคาที่ผ่านมาค่อนข้างต่ำ เพราะหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับตัวช้ากว่าตลาดค่อนข้างมาก ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่น ๆ ปรับตัวขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้ว
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติของ BDMS ในปีนี้ขึ้น 13% ส่งผลให้กำไรปกติปีนี้เติบโตเร่งตัวขึ้นเป็น 13.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน หนุนจากทั้งฝั่งรายได้และมาร์จิ้นที่ขยายตัว
นอกจากนี้ล่าสุด BDMS เริ่มรุกตลาดลูกค้าประกันมากขึ้นผ่านการร่วมมือกับบริษัทประกันในการออกประกันสุขภาพที่ใช้บริการเฉพาะโรงพยาบาลในเครือ BDMS เท่านั้น ซึ่งมองเป็นบวกเพราะได้ใช้จุดแข็งจากการเป็นผู้มีเครือข่ายโรงพยาบาลมากที่สุดในประเทศ และใช้ประโยชน์จาก Capacity ที่เหลืออยู่ในการสร้างรายได้และกำไร
ขณะที่การเปิด BDMS Wellness Clinic ที่ล่าช้ากว่าคาดทำให้แรงกดดันจากผลขาดทุนของ Wellness Clinic ลดลง และส่งผลให้อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) คาดว่าจะขยายตัวได้เล็กน้อยเป็น 23.1%
ส่วน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลการดำเนินงานของ BDMS เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการขยายธุรกิจที่ทำมาตลอดในช่วงก่อนหน้านี้ โดยยังคงเป้าการเปิดโรงพยาบาลเพิ่มเป็น 50 แห่ง จากปัจจุบัน 45 แห่ง แต่จะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ช่วยให้กระแสเงินสดเป็นบวกมากขึ้น โดยคาดกำไรปกติช่วง 3 ปีข้างหน้าปี 61-63 เติบโตเฉลี่ย 10% และยังมี Upside risk ต่อประมาณการ หากรายได้ของ BDMS ทำได้ดีกว่าที่คาด
ส่วนมุมมองต่อผลประกอบการในไตรมาส 1/60 เติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเดือน ม.ค.-ก.พ รายได้เพิ่มขึ้นในระดับ Double-Digit ผลักดันจากจำนวนคนไข้ไทยและต่างชาติ ซึ่งคนไข้ไทยเข้ารับการรักษามากขึ้น จากโรคระบาดที่มากขึ้น ทั้งไข้หวัดและโรคท้องเสีย ขณะที่คนไข้ต่างชาติ ขยายตัวเติบโตดีหลังคนไข้ตะวันออกกลางเริ่มกลับมาใช้บริการ ส่วนคนไข้ ญี่ปุ่น เมียนมา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) อังกฤษ และจีน เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ยังคงควบคุมต้นทุนที่เข้มงวดต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน
บทวิเคราะห์ บล.เออีซี ระบุว่า ผู้บริหาร BDMS ระบุว่าถึงเป้ารายได้ค่ารักษาในปีนี้จะเติบโต 2 เท่าของ GDP Growth หรือราว 7-8% จากปีที่แล้ว โดยในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ รายได้โตเกิน 10% แล้ว ด้วยแรงหนุนจากการเติบโตของตลาดผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยปัจจุบัน BDMS มีโรงพยาบาลเครือข่ายทั่วไทยที่เปิดให้บริการแล้วถึง 45 แห่ง ซึ่งมีแผนจะเพิ่มอัตราใช้บริการโดยรวมด้วยการเจาะตลาดผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพ หลังปีก่อนรัฐบาลอนุมัติให้นำเบี้ยประกันสุขภาพ 1.5 หมื่นบาทมาลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งทำให้มีผู้สนใจทำประกันสุขภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ยังมองว่าเป้าหมายของผู้บริหาร BDMS ที่มองว่ารายได้ในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ในระดับ 2 เท่าของ GDP ปัจจุบันนั้นมีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากจำนวนเคสคนไข้โรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยช่วงไตรมาส 1/61 เพิ่มขึ้นถึง 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางและจีนยังคงเติบโตดีอยู่ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อจำนวนคนไข้ของ BDMS โดยคงประมาณการกำไรปกติปี 61 ที่ 8.85 พันล้านบาท หรือเติบโต 10% กลับมาพลิกฟื้นทำสถิติสูงสุดใหม่
อีกทั้ง จำนวนตัวเลขผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่รวมสำหรับไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 25,617 เคส เพิ่มขึ้น 27% จากงวดปีก่อน ประกอบกับมีโรคท้องร่วงระบาด และคนไข้ต่างชาติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยชาวคูเวต โอมาน และจีน