น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก (GBS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ได้รับปัจจัยบวกจากโอกาสเกิดสงครามการค้าลดลงหลังจากสหรัฐระบุว่าจะยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) และยังส่งสัญญาณยกเว้นภาษีให้กับประเทศอื่นๆ ด้วย ล่าสุดสหรัฐอยู่ระหว่างเจรจากับสหภาพยุโรป (อียู) และญี่ปุ่น หากสามารถตกลงกันได้จะช่วยลดความร้อนแรงของกระแสการเกิดสงครามการค้าลงอีก
รวมถึงราคาน้ำมันทรงตัวที่ระดับสูงส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน และการเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ประชุมสนช.มีมติผ่านกฏหมายลูก 2 ฉบับได้แก่ ร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยกดดันจาก fund flow ผันผวนในช่วง 1 เดือนย้อนหลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2.5 หมื่นล้านบาท และประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาบอสตันสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้จากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีมาก
ทั้งนี้ ยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตาในระยะนี้ ได้แก่ วันที่ 13 มี.ค. สหรัฐ เปิดเผย อัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ. และ สต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์จากการปิโตรเลียมสหรัฐ (API) 14 มี.ค. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุม 15 มี.ค. สหรัฐ เปิดเผย ดัชนีภาคการผลิตเดือนมี.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และในวันที่ 19 มี.ค. ดร.สมคิด มีแผนนำทีมเศรษฐกิจชี้แจงนโยบาย-มาตรการลงทุนหนุนสู่ไทยแลนด์ 4.0 และ EEC ให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มบวกต่อ คาด SET ผันผวนในกรอบ 1,755-1,820 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยบวก ได้แก่ GFPT ได้ประโยชน์จากการที่จีนรับรองมาตรฐานโรงงานผลิตไก่ไทย TVO spread เพิ่มขึ้นจากการที่ราคากากถั่วเหลือง เพิ่มขึ้น19.2% QTD ขณะที่ราคาเมล็ดถั่วเหลืองปรับเพิ่มขึ้นเพียง 8.7% QTD และได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง และหุ้นปันผลเด่น (yield มากกว่า 3%) ได้แก่ ASEFA, BAFS, CPT, CRD, FTE, GLOW, KKP, NYT, PSH, PTTGC, SCB, SF, SIS, SMPC, SPRC, TK, TOP, WHAUP, TISCO, QH, PDI
ด้านแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า กราฟราคาทองคำให้น้ำหนัก 50/50 ระหว่าง ทรงตัวเหนือ 1,300 ดอลลาร์ โดยแกว่งตัวสร้างรูป descending triangle ไปอีกสักระยะ หรือ กำลังกลับตัวเป็นขาลงสู่แนว 1,260 ดอลลาร์ ในกรณีที่การร่วงลงในช่วงสิ้นเดือนก่อนเป็นการ breakout จริง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน แนวรับ 1,300 ดอลลาร์ จะเป็นทั้งจุดเข้า-จุดออกที่สำคัญ จึงแนะนำนักลงทุนให้รอจังหวะ follow short เมื่อราคาหลุดระดับ 1,300 ดอลลาร์ หรือ trading long เมื่อราคาอยู่เหนือระดับ 1,325 ดอลลาร์ แต่ถ้าราคาอยู่ระหว่าง 1,300–1,325 ดอลลาร์ ควรรอดูปัจจัยบวกลบที่จะนำไปสู่การเลือกทาง เนื่องจากค่าเงินบาทลดความผันผวนลง แต่ค่าเงินดอลลาร์มีความไม่ชัดเจนว่าจะแข็งขึ้นหรืออ่อนลง