นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่-พัฒนาธุรกิจ บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) กล่าวว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 25% จากปีก่อนทำได้ 3.15 หมื่นล้านบาท เป็นไปตามการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าเพิ่มอีกจำนวน 449 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 3 มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 133 เมกะวัตต์ ,โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 266 เมกะวัตต์ ,โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 7 โครงการ กำลังการผลิตรวม 31 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 1 โครงการในลาว กำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์ รวมถึงโรงไฟฟ้าชีวมวล 1 โครงการ กำลังผลิต 4 เมกะวัตต์
ด้านนางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ BGRIM กล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ราว 1 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งปัจจุบันบริษัทลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 52 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,518 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD แล้วรวมทั้งสิ้น 31 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,779 เมกะวัตต์ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา กำลังการผลิตติตตั้งรวม 739 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทได้เข้าไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศเวียดนาม เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประเภทโซลาร์ฟาร์ม ขนาดกำลังการผลิตมากกว่า 100 เมกะวัตต์ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า 50% คาดว่าจะสามารถประกาศรายละเอียดของการเข้าลงทุนดังกล่าวได้ในเดือนเม.ย.61 ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างเจรจาเข้าร่วมลงทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์มที่มาเลเซีย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเดือน มิ.ย.นี้ หรือหลังการเลือกตั้งของมาเลเซีย
อีกทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในประเทศ เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้อย่างน้อย 1 ดีล
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากต่างประเทศในปี 65 ราว 30% จากปีนี้อยู่ที่ 8% และมีการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเป็น 30% จากเดิมอยู่ที่ 12%
นางปรียนาถ กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดอายุ มูลค่าราว 5.5 พันล้านบาท และใช้รีไฟแนนซ์ในโครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ขนาด 229 เมกะวัตต์ ที่บริษัทเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 74% มูลค่าราว 5 พันล้านบาท ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัทให้ปรับตัวลงอีก โดยมีเป้าหมายภายใน 3 ปีจากนี้จะมีต้นทุนดอกเบี้ยลดลงมาที่ 4-4.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.7%
"ปีที่ผ่านมาเรามีการเติบโตในทุก ๆ ด้านตามเป้าหมายที่วางไว้ และปีนี้เราก็มองว่าเราน่าจะมีการเติบโตที่ดีกว่าที่คาด จากการ COD โรงไฟฟ้าเข้ามาเพิ่ม และการเข้าลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นโปรเจ็คต์ขนาดใหญ่ รวมถึงยังอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าร่วมลงทุนและซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง"นางปรียนาถ กล่าว