นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้ายอดขายปี 61 เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 4.18 พันล้านบาท และรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 25-27% เป็นผลมาจากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะช่องทางโมเดิร์นเทรด จะเห็นได้ว่ามีการขยายสาขากันมากขึ้นเฉลี่ย 5-10 สาขา ทำให้เป็นโอกาสของบริษัทในการนำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่ายในช่องทางดังกล่าวได้เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทมองการเติบโตผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดในปีนี้น่าจะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก
สำหรับการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ ปีนี้บริษัทก็ตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 16-17% แล้ว โดยยังคงมุ่งเน้นการขายในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีพรมแดนติดกัน และเน้นไปในกลุ่มงานโครงการที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 15% ของรายได้จากต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทวางงบลงทุนปกติปีนี้ไว้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร ขณะที่วางงบด้านการตลาดที่ 5% ของรายได้รวม โดยจะมีการทำการตลาดผ่านดิจิทัลทีวี โดยเฉพาะในช่องที่มีผู้รับชมจำนวนมาก หรือเรตติ้งสูง ขณะเดียวกันก็ยังคงทำการตลาดผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น นิตยสารบ้านและสวน เป็นต้น โดยจะเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น รวมถึงการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์ , Facebook ,youtube และ Instagram เพื่อส่งเสริมยอดขายให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน/ปี มองว่าน่าจะเพียงพอต่อการรองรับความต้องการของผู้บริโภค โดยบริษัทคาดหวังในเรื่องของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของภาครัฐ และการเมืองในประเทศ หากเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน ก็น่าจะเป็นส่วนที่เข้ามาสนับสนุนกำลังซื้อและการลงทุนของภาคเอกชนและประชาชนให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเมื่อถึงขณะนั้น บริษัทก็มีความพร้อมที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก จากปัจจุบันที่มีเงินสดในมือราว 800 ล้านบาท และมีหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำ (D/E) ราว 0.5 เท่า ซึ่งยังสามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินได้อีกมาก
"เรามั่นใจว่ารายได้ปีนี้น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่เราวางไว้ที่ 5% ซึ่งเมื่อดูแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 ก็น่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/60 เป็นไปตามความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวดีขึ้น จากเป็นช่วงของการก่อสร้าง โดยปีนี้เราก็จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มอีก ได้แก่ กระเบื้องคอนกรีต ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไม้ และหลังคา เป็นต้น คาดว่าน่าจะออกจำหน่ายได้ในช่วงปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามเรายังมุ่งเน้นการให้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะการบริการติดตั้งหลังคา ซึ่งน่าจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและยอดขายให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากการให้บริการอยู่ราว 7-8% โดยในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 1% และต่อไตรมาสถึง 4%"นายสาธิต กล่าว