นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อของบริษัทในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.) เติบโต 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมียอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่เกิน 1.5% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้จะอยู่ที่ 8 หมื่นล้านบาท เติบโต 40% จากปีก่อน โดยจะให้ความสำคัญเรื่องของการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างรัดกุม เพื่อทำให้ NPL คงอยู่ระดับไม่เกิน 1.5% ซึ่งนับว่าเป็นระดับต่ำกว่าอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
"ที่ผ่านมา 2 เดือน ยอดการเติบโตสินเชื่อสูง 40% ตัวเลข NPLไม่เกิน 1.5% และปีนี้เราก็ไม่น่าจะต้องมีการกันสำรองอะไรมากกว่าปกติ ยังมั่นใจว่า ผลประกอบการทั้งในไตรมาสแรก และทั้งปีนี้จะออกมาน่าประทับใจไม่แพ้ปีที่ผ่านมา"นายชูชาติ กล่าว
นายชูชาติ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีความเข้าใจผิดว่า บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่คิดดอกเบี้ยสูงเกินกำหนด และเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ขัดกับร่างพ.ร.บ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินนั้น ขอยืนยันว่าเงื่อนไขสัญญากับลูกค้าของบริษัทเป็นไปตามที่กรอบกฎหมายกำหนดเสมอ ลูกค้าผู้ใช้บริการพึงพอใจและบอกต่อเป็นจำนวนมาก เป็นทางเลือกเพื่อประชาชนให้เข้าถึงวงเงินกู้ในระบบที่มีความน่าเชื่อถือ และสะดวกรวดเร็วเป็นมิตรกว่าเงินกู้นอกระบบที่อัตราดอกเบี้ยแพงเกินสมควร
ทั้งนี้ บริษัทไม่ได้มีความกังวลเกี่ยวกับการจัดเก็บเงิน หลังจากปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากประเทศไทยจะมีการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะทำให้มีเงินเข้ามาสู่ระบบมากขึ้น ก็จะช่วยให้ลูกค้าของบริษัทมีความสามารถในการผ่อนชำระเงินด้วย
"ระยะนี้มีบุคคลภายนอกเข้าใจ "เมืองไทย ลิสซิ่ง" ผิดในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องที่เข้าใจว่าเราคิดดอกเบี้ยแพงเกินจริง หรือกระทั่งบางคนเข้าใจผิดว่าเราทำธุรกิจเช่าซื้อ ตรงนี้ผมต้องขอย้ำอีกครั้งว่า MTLS เป็นบริษัทมหาชนที่ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ อัตราดอกเบี้ยเป็นธรรมต่อลูกค้าแน่นอน เป็นทางเลือกที่ดีช่วยให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้สะดวก โดยไม่ต้องไปเสี่ยงกู้นอกระบบ ส่วนอีกประเด็นที่มีคนคิดว่าเราทำเช่าซื้อด้วยนั้น เพื่อความชัดเจน คณะกรรมการจึงลงมติกันว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล หรือ MTC เพื่อป้องกันความสับสนต่อไป"นายชูชาติ กล่าว
สำหรับแผนงานปีนี้ บริษัทคาดรายได้รวมจะทะลุ 1 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 7.47 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายสินเชื่อที่จะเติบโต 40% และยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มลูกหนี่คงค้างสิ้นปีให้มาอยู่ที่ระดับ 5 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยสาเหตุที่สินเชื่อใหม่เติบโตได้ดี เนื่องจากมีจำนวนสาขามากขึ้น ดังนั้น เมื่อจำนวนสาขาเพิ่มทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นเช่นกัน
ส่วนแผน 3 ปี (ปี 61-63) ยอดปล่อยสินเชื่อ รายได้ และกำไรสุทธิ จะเติบโตในทิศทางเดียวกัน ซึ่งคาดว่าปี 61-62 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 40% และในปี 63 จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 30% ตามการขยายสาขาเฉลี่ยปีละ 600 สาขา โดยในปี 61 มีสาขารวม 2,800 สาขา ปี 62 มี 3,400 สาขา และในปี 63 สาขาจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 สาขา โดยมีงบลงทุน 250,000-800,000 บาท/สาขา ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น
นายชูชาติ กล่าวด้วยว่า บริษัทจะเสนอเรื่องการเปลี่ยนชื่อบริษัทเข้าสู่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 20 เม.ย.ด้วย