บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH) ที่ระดับ "A+" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A+" เช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปซื้อที่ดินและใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจากการมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งและผลงานที่ได้รับการยอมรับ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำและการมีหลักทรัพย์สภาพคล่องในระดับสูงด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลางและนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงทั่วประเทศรวมทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้ายังส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย
รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 29,909 ล้านบาทในปี 2559 และ 34,922 ล้านบาทในปี 2560 ทำให้บริษัทจัดอยู่ใน 3 อันดับแรกในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาประมาณ 70 โครงการซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 160,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรรซึ่งคิดเป็น 80% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดของบริษัท ส่วนที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ณ เดือนธันวาคม 2560 จำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมด (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) มีมูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาทและมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่าประมาณ 11,500 ล้านบาทซึ่งคาดว่าจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าในช่วงปี 2561 ถึงปี 2562
บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) อยู่ที่ระดับ 22%-25% ในช่วงปี 2556-2560 ทั้งนี้ คาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้สูงกว่า 20% เอาไว้ได้แม้ว่าการแข่งขันในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะรุนแรงและแรงกดดันจากต้นทุนค่าที่ดินจะเพิ่มขึ้น อีกทั้งจะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการขยายธุรกิจเกิดขึ้นก็ตาม
บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ เดือนธันวาคม 2559 ที่ระดับ 48% และ ณ เดือนธันวาคม 2560 ที่ระดับ 49% โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 3-4 เท่าในช่วงปี 2556-2560 ทั้งนี้ บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.5 เท่าตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ โดย ณ เดือนธันวาคม 2560 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.87 เท่า
สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 19%-22% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 8-9 เท่าในช่วงปี 2556-2559 และเพิ่มขึ้นเป็น 11 เท่าในปี 2560 บริษัทมีเงินลงทุนจำนวนมากในหลักทรัพย์สภาพคล่องสูง ทั้งนี้ มูลค่าตลาดของเงินลงทุนในบริษัทร่วมซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ณ เดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ 67,916 ล้านบาท และรายได้จากเงินลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2559-2560
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงรักษาสถานะทางการเงินในระดับที่ยอมรับได้ และคงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้ ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้ารายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000-33,000 ล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 5 เท่า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โดยอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นหากโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3 เท่าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทแตกต่างไปจากประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ