SELIC มองแนวโน้มผลงาน Q1/61 น่าจะดีกว่า Q1/60 หลังได้อานิสงส์ตรุษจีน-ส่งออกโต

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 16, 2018 11:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 จะดีกว่าไตรมาส 1/60 เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับอานิสงส์ในช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ที่เป็นช่วงของเทศกาลตรุษจีน รวมถึงอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีการเติบโตต่อเนื่อง จากการสนับสนุนของภาครัฐ ที่ให้มีการส่งออกมากขึ้น

โดยบริษัทฯยังคงเป้าหมายรายได้ปี 61 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 595 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศบริษัทฯ จะมีการเพิ่มปริมาณการขายในกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้นและมีแผนขยายตลาดในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 45% จากเดิมที่อยู่ราว 30-40% และที่เหลือจะมาจากในประเทศ 55%

นายเอก กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนปรับโครงสร้างทีมขายให้มีความชัดเจนมากขึ้น จากการแบ่งทีมขายไปตามกลุ่มอุตสาหกรรม จากเดิมที่มีการแบ่งไปตามบริษัท เพื่อรองรับการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า โดยมุ่งเน้นถึงการให้บริการด้วยแนวคิด Customer Centric รวมถึงการยกระดับการผลิต เพื่อรองรับการขยายตลาดกลุ่มลุกค้าในประเทศ และกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ และกลุ่มตลาดใหม่ ซึ่งการปรับโครงสร้างทีมขายดังกล่าวจะทำให้การบริการและการบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้าได้เหมาะสมและดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังมีแผนเพิ่มทีมขายอีกเล็กน้อย จากเดิมที่มีอยู่ราว 10 คน ไม่รวมทีมพัฒนาธุรกิจและพัฒนาการตลาด

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมบรรจุหีบห่อ อาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มรองเท้าและเครื่องหนัง รวมถึงเน้นการเจาะตลาดอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ และกลุ่มก่อสร้าง ซึ่งล้วนแต่มีการเติบโตส่งผลให้ความต้องการใช้กาวอุตสาหกรรมสูงขึ้นด้วย

สำหรับการลงทุนในปีนี้ยังคงมุ่งเน้นในการวิจัยและพัฒนา ในเรื่องของ Innovation (R&D) อย่างต่อเนื่อง โดยวางงบลงทุนไว้ราว 3-5% ของรายได้รวม

นายเอก กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ คาดอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับปี 60 จากปีก่อนอยู่ที่ 25.84% และ 3.17% ตามลำดับ และคาดหวังว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 59 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.66% และอัตรากำไรสุทธิที่ 6.96%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทฯ จะยังคงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าอยู่ แม้มีการทำป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะปรับราคาขายขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดอุตสาหกรรม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ