หุ้น GL ราคาขยับขึ้น 2.72% มาอยู่ที่ 9.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 83.04 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.08 น. โดยเปิดตลาดที่ 9.45 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 9.65 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 9.20 บาท
วานนี้ศาลล้มละลายกลางได้ไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) ที่ร้องโดย JTA และมีคำสั่งยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากจำนวนหนี้ที่ J Trust Asia Pte. Ltd. ได้ฟ้องเป็นจำนวนหนี้ที่ไม่แน่นอน เนื่องจากศาลแพ่งยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีที่ยื่นฟ้องก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบล.โกลเบล็ก ระบุว่า การดำเนินธุรกิจของ บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) ในต่างประเทศน่าจะมีความคล่องตัวมากขึ้นหลังศาลยกคำร้องคุ้มครองชั่วคราวทั้งในไทยและต่างประเทศตั้งแต่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา และบอร์ดชุดใหม่ที่จะเข้ามาตรวจสอบการทำงานน่าจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสนับสนุนให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้ แนะนำ"ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น"
อย่างไรก็ตาม คงยังต้องคอยติดตามผลการดำเนินงานและข่าวความคืบหน้าเรื่องแก้ไขงบการเงินในอดีตตามคำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เนื่องจากต้องรอคำตัดสินจากกรมสวบสวนคดีพิเศษ (DSI) และอัยการสูงสุดก่อน
ด้านผลการดำเนินงานปี 60 เติบโตดีในช่วงครึ่งปีแรก Q1/60 กำไร 328 ลบ. Q2/60 กำไร 339 ลบ แต่หดตัวหนักในช่วงครึ่งปีหลังจากการตั้งสำรองฯจำนวนมาก 1.9 พันลบ.ในช่วง Q3/60 ทำให้ขาดทุน 2.6 พันลบ. และใน Q4/60 ได้หยุดรับรู้รายได้จากธุรกิจในสิงคโปร์และไซปรัสโดยยังมีกำไร 122 ลบ. ส่งผลให้ผลการดำเนินงานทั้งปีขาดทุน 1,819 ลบ. พลิกจากที่มีกำไร 1,064 ลบ.ในปี 59
ปัจจุบัน GL ทำธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อยใน 6 ประเทศได้แก่ ไทย เมียนมา ลาว กัมพูชา และอินโดนีเซีย ปลายปี 60 มีพอร์ตสินเชื่อมูลค่า 7.6 พันลบ.ปี 61 ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 10% ผ่านรูปแบบธุรกิจดิจิตอลไฟแนนซ์ โดยมุ่งเน้นขยายตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะเมียนมาที่ตั้งเป้าเติบโต 100
บทวิเคราะห์ของ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ประเด็นศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้องกรณีที่ JTrust ให้ บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) ฟื้นฟูกิจการ เรามองเป็นกลาง เพราะความกังวลหลักยังอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการกล่าวโทษจากสำนักงานคณะกรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และการลงบัญชีเท็จ
ส่วนด้านการดำเนินธุรกิจปีนี้ บริษัทมุ่งเน้นขยานตลาดไทยและเมียนมา ซึ่งคาดโตราว 10% ต่อปี และหยุดขยายสินเชื่อในกัมพูชาและอินโดนีเซีย ทั้งนี้ เฉพาะผลการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษอื่น เช่นการแก้ไขบัญชี และการตั้งสำรองฯพิเศษอื่น ถ้ามี) คาดว่าจะมีกำไรราว 500-600 ล้านบาท ซึ่งหักรายการเงินให้กู้จากสิงคโปร์และไซปรัสออกรวมถึงค่าธรรมเนียมในธุรกิจที่อินโดนีเซียด้วย คิดเป็น EPS 0.33-0.40 บาทต่อหุ้น หากอิง Justified PER ตามกลุ่มที่ 12-15 เท่า จะมีราคาเหมาะสมที่ราว 4-5.90 บาท ราคาปัจจุบันถือว่าเต็มมูลค่า
%