บล.กสิกรไทย เพิ่มเป้า SET สิ้นปี 61 มาที่ 1,914 จุด ขานรับปัจจัยบวกเศรษฐกิจดี-บริโภคฟื้น-หวังเลือกตั้งปี 62

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 20, 2018 16:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บล.กสิกรไทยปรับเพิ่มประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สิ้นปี 61 เพิ่มเป็น 1,914 จุด ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นครั้งที่ 2 ของปีนี้จากเดิมที่ 1,835 และ 1,850 ตามลำดับ โดยมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวที่ดี เพราะการลงทุนโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐที่ออกมามากขึ้น และการบริโภคในประเทศของประชาชนที่อยู่นอกภาคเกษตรได้ฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น ประกอบกับตลาดมีความคาดหวังต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 62

ขณะเดียวกันแนวโน้มการลงทุนของเอกชนจะเป็นวงโคจรของการกลับมาลงทุนรอบใหม่ในปี 61 หลังจากที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยมีกระแสเงินสดรวมกันสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.5 ล้านล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในจุดต่ำสุด ทำให้เป็นโอกาสที่จะเห็นการลงทุนของเอกชนกลับมาลงทุนอีกครั้งในรอบ 3 ปี เพราะมีเงินสดมากและมีหนี้สินน้อย โดยในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นบจ.ประกาศแผนการลงทุน เช่น บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่กางแผนลงทุน 5 ปี รวมไปถึงบมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA) และบมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) ที่มีแผนการซื้อกิจการและร่วมลงทุน (M&A) ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยเข้ามากระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้

ส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) ในปี 61 ยังคงไว้ที่ 111.7 บาท/หุ้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ประมาณการ EPS ในปีนี้ที่ 110 บาท/หุ้น โดยมีแนวโน้มที่ดีที่จะเห็นกำไรของบจ.ในปี 61 มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 9.5 แสนล้านบาท โดยมีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะทำกำไรได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ซึ่งเป็นมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ด้านปัจจัยภายนอกที่ยังคงเป็นปัจจัยหนุนมาจากสภาพคล่องของโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยงบดุลของสหรัฐฯและยุโรปรวมกันอยู่ที่ 15.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.6% จากปีก่อน ซึ่งยังเป็นปริมาณของสภาพคล่องที่สูงอยู่ และทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงมีการเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ถือว่านักลงทุนต่างชาติยังคงให้สนใจอยู่

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่นักลงทุนจะต้องติดตามและให้ความสำคัญ เพราะส่งผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ คือ การเลือกตั้งทั่วไปที่ปัจจุบันยังคงต้องรอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยื่นตีความร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และยังต้องจับตาว่าจะมีการส่งร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ให้ตีความด้วยหรือไม่ โดยในเดือนพ.ค.นี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเรื่องคำตัดสินของศาลฯ

สำหรับกรณีที่ผลคำตัดสินออกมาไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญก็จะส่งผลบวกต่อภาพรวมของตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากขึ้น และจะมีแรงซื้อกลับเข้ามา เพราะทิศทางของการเลือกตั้งที่ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 62 ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะดีดตัวเพิ่มขึ้นเหนือ 1,840 จุด ซึ่งเป็นประมาณการดัชนีในครึ่งปีแรกที่ บล.กสิกรไทยประเมินไว้ และมีโอกาสไปถึงเป้าหมายดัชนีในสิ้นปีนี้

แต่ในกรณีตรงกันข้ามหากคำตัดสินของศาลฯออกมาว่าขัดแย้ง จะส่งผลต่อกำหนดการเลือกตั้งที่จะไม่มีกำหนด และทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนหายไป และทิศทางของตลาดอาจจะทรุดลงหนัก แต่ ล.กสิกรไทย ยังมองด้านบวกเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลฯว่าจะออกมาไม่ขัดแย้ง

อย่างไรก็ตาม ภาพของแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 61 อาจจะเป็นภาพการแกว่งตัว และได้รับแรงกดดันจากปัจจัยของการจ่ายปันผลของบจ. ที่มีการจ่ายปันผลรวม 1.3 แสนล้านบาท ทำให้ในช่วงนี้อาจจะมีแรงขายออกมากดดันหลังการจ่ายเงินปันผล โดยมองว่าดัชนีในครึ่งปีแรกจะเคลื่อนอยู่ที่ 1,840-1,870 จุด

หุ้นที่ บล.กสิกรไทย แนะนำในปีนี้ยังคงเป็นหุ้นที่ได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การลงทุนรอบใหม่ และการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คือ BBL และ KTB กลุ่มผลิตภัณฑ์ต้นน้ำที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน คือ PTTEP กลุ่มค้าปลีก คือ CPN และ HMPRO กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คือ STEC กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม คือ AMATA และกลุ่มหุ้นที่จ่ายปันผลสูงในไตรมาส 2/61 คือ TISCO และ INTUCH


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ