นายกิตติ เตชะทวีกิจกุล รองประธานกรรมการ บมจ.เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น (MSC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 จะเติบโต 5% จากปีก่อนทำได้ 7.44 พันล้านบาท โดยได้วางกลยุทธ์ไว้ 3 ด้าน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ธุรกิจบริการ คือ Digital Transformation Consulting Services แนะนำและเป็นที่ปรึกษาในระบบงานให้แก่ลูกค้าเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ของโลกไอทีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง , Comprehensive Office & 3D Printing Outsourcing การเป็นผู้นำเทคโนโลยีดิจิตอลพริ้นติ้งด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลก จัดแสดงผู้ที่สนใจที่ศูนย์สาธิตเทคโนโลยี HP PageWide Technology Center และ HP 3D Printing รวมถึง IT Solotion Rental Services สร้างทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าในการเลือกใช้บริการจากการเช่าแทนการลงทุนซื้อ
ทั้งนี้ คาดอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อนอยู่ที่ 3.16% เป็นผลมาจากการให้บริการใหม่ ๆ (New Service) และการพัฒนาซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมถึงบริษัทยังมีการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร และความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ราว 30 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงโครงสร้างอาคาร (รีโนเวท) และการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มเติมอีก ทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทก็อยู่ระหว่างพัฒนาซอฟแวร์เกี่ยวกับการทำตลาดออนไลน์ (Omni Channel) โดยจะเจาะกลุ่มลุกค้าองค์กร เช่น ธนาคารพาณิชย์ ,ธุรกิจไฟแนนซ์ ,โรงงานอุตสาหกรรม และ Big Data เป็นต้น คาดว่าหากมีความพร้อม บริษัทจะสามารถเริ่มทำการตลาดได้
นายกิตติ กล่าวว่า บริษัทยังคงมองโอกาสในการเข้าลงทุนในธุรกิจ Startup ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากมีความชัดเจน บริษัทก็ถือว่ามีความพร้อมทางด้านแหล่งเงินลงทุน จากปัจจุบันที่มีกำไรสะสมอยู่ที่ 600-700 ล้านบาท และมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่ถึง 1 เท่า แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีการเจรจาเพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าว เนื่องจากยังไม่มีธุรกิจไหนที่ตอบโจทย์กับบริษัท
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.พ.61) ถือว่ามีการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ฟื้นตัวดีขึ้น จะเห็นได้จากบริษัทต่างๆ มีการลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลาและแข่งขันได้ ประกอบกับยังได้รับอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า จากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ มีต้นทุนถูกลง และยังส่งผลให้ลูกค้าของบริษัทฯ ได้รับสินค้าในราคาที่ถูกลงเช่นกัน โดยบริษัทฯ มีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วน 30% ส่วนที่เหลือจะเป็นการซื้อวัตถุดิบในประเทศ