บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART) ที่ระดับ "BBB+" ในขณะเดียวกันยังปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น "Negative" หรือ "ลบ" จาก "Stable" หรือ "คงที่" ด้วย โดยแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนถึงส่วนทุนของบริษัทที่อ่อนแอลงและความเสี่ยงจากการที่บริษัทจะไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าที่มีอยู่เป็นจำนวนมากได้ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนของทุนของบริษัทอ่อนแอลงมากยิ่งขึ้น
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงการที่บริษัทมีธุรกิจและแหล่งรายได้ที่หลากหลายอีกทั้งยังมีสถานะด้านการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology -- IT) ในขณะที่การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความผันผวนของธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบ IT และธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมทั้งฐานะการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ระดับลูกหนี้การค้าที่สูง ณ สิ้นปี 2560 บริษัทบันทึกรายการลูกหนี้การค้าที่เกิน 12 เดือนที่จำนวน 5,356 ล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้การค้าจากธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ดำเนินการโดย บริษัท สามารถ ดิจิตอล จำกัด (SDC) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้การค้าดังกล่าวไปแล้วเพียงประมาณ 30% และมีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะต้องมีการตั้งสำรองเพิ่มเติมสูงถึง 3,000 ล้านบาทในอนาคตอันใกล้
บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นที่อ่อนแอลงและจำเป็นต้องเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นดังกล่าวให้แข็งแกร่งขึ้นไม่ว่าจะด้วยการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรหรือด้วยการเพิ่มทุนก็ตาม ในกรณีที่บริษัทต้องตั้งสำรองเพิ่มเติมก่อนที่ส่วนของผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นมากพอก็จะมีความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินที่จะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกิน 3 เท่าตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัท
ประเภทธุรกิจและแหล่งรายได้ที่หลากหลาย บริษัทมีสายธุรกิจหลัก 5 กลุ่ม ได้แก่ สายธุรกิจ IT Solutions สายธุรกิจ Digital Solutions สายธุรกิจศูนย์บริการลูกค้าครบวงจร (Contact Center) สายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี และสายธุรกิจด้านสาธารณูปโภคและขนส่ง ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ รวมถึงตลาดที่ครอบคลุม และประเภทของลูกค้าที่หลากหลายช่วยลดความเสี่ยงจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้บางส่วนและช่วยเพิ่มความหลากหลายของแหล่งรายได้ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยทำให้สถานะทางธุรกิจของบริษัทเข้มแข็งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจให้บริการด้าน IT ที่ครบวงจรด้วย โดยบริษัทมีผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับในการดำเนินโครงการด้าน IT ที่หลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการของภาครัฐ
ฐานรายได้จากสัญญาให้บริการ บริษัทมีฐานรายได้จากสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงในสายธุรกิจ IT Solutions และจากธุรกิจควบคุมจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชา ในปี 2560 บริษัทมีรายได้จากทั้ง 2 ส่วนธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 5,200 ล้านบาท หรือประมาณ 40% ของรายได้รวมของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจทั้ง 2 ส่วนนี้ที่ระดับ 5,000-5,500 ล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ แหล่งรายได้ที่สม่ำเสมอดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบจากผลการดำเนินงานที่ผันผวนให้แก่บริษัทได้
ในปี 2560 บริษัทมีรายได้ทั้งสิ้น 13,023 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากปี 2559 โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลดลง อย่างไรก็ดี ในระยะ 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะมีฐานรายได้จากมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่จะมาจาก บริษัท สามารถ เทลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL) บริษัท เทด้า จำกัด (TEDA) และ บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) (OTO) เป็นหลัก โดยมูลค่ารวมของงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวนประมาณ 5,000 ล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2561 จำนวน 2,600 ล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2562 และจำนวน 1,200 ล้านบาทจะรับรู้ในปี 2563 นอกจากนี้ บริษัทยังจะมีรายได้จากธุรกิจควบคุมจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชาที่คาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านบาทต่อปีอีกด้วย
ในช่วงปี 2561-2563 ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ภายใต้ประมาณการพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 14,600-16,400 ล้านบาทต่อปีเมื่อพิจารณาจากมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบและโอกาสที่จะชนะงานประมูลโครงการใหม่ ๆ ของ SAMTEL รวมทั้งโครงการ Trunk Radio และ Co-tower ของ SDC โดยคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนรวมประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2563
ฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากในปี 2560 โดยได้รับแรงกดดันจากผลการดำเนินงานที่ย่ำแย่ของ SDC เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงจาก 1,891 ล้านบาทในปี 2559 มาอยู่ที่ 36 ล้านบาทในปี 2560 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 1,535 ล้านบาทสำหรับ SDC ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงได้รับแรงกดดันต่อไปในปี 2561 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทจำเป็นจะต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจำนวนมากเพิ่มเติม ทั้งนี้ คาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะกลับสู่ระดับปกติที่ 2,800-3,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2563
SDC อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจจากผู้จัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มาสู่การเป็นผู้ให้บริการด้าน Digital Solutions อย่างไรก็ตาม ธุรกิจใหม่ดังกล่าวยังต้องอาศัยเวลาในการที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สามารถทดแทนธุรกิจเดิมได้ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงมีความเห็นว่าความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงจากผลขาดทุนของ SDC และฐานทุนที่ลดลงเป็นสำคัญ แม้ว่าภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงจาก 13,241 ล้านบาทในปี 2559 มาอยู่ที่ 12,474 ล้านบาทในปี 2560 แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก 62.61% ณ สิ้นปี 2559 มาอยู่ที่ 66.98% ในปี 2560 จากส่วนของผู้ถือหุ้นที่ลดลง
ทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับสูงกว่า 70% ในช่วงปี 2561-2563 จากการคาดการณ์ว่า SDC จะต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมและภาระหนี้ที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากโครงการ Trunk Radio และ Co-tower ของ SDC รวมทั้งการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ของ SAMTEL ซึ่งโครงสร้างหนี้สินต่อทุนในระดับสูงจะเป็นปัจจัยลบต่อคุณภาพเครดิตของบริษัท
แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนถึงฐานะการเงินที่อ่อนแอลงของบริษัทและความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับส่วนทุนที่อ่อนแอลงซึ่งอาจทำให้บริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง ความเป็นไปได้ในการปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีฐานะทางการเงินที่อ่อนแอลงกว่าที่คาดไว้และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับที่สูงกว่า 70% อย่างต่อเนื่อง แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเป็น "Stable" หรือ "คงที่" หากฐานะการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นหรือบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นซึ่งจะช่วยเสริมให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินเพิ่มขึ้น