ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น "Negative" หรือ "ลบ" จาก "Stable" หรือ "คงที่" โดยการเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่ทริสเรทติ้งได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแม่ของบริษัทคือ บมจ.สามารถ คอร์ปอเรชั่น (SAMART) แม้ว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงมีความแข็งแกร่ง การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งต่อสถานภาพของบริษัทในการเป็น สมาชิกหลัก (core member) ของกลุ่มสามารถ (SAMART Group) และอันดับเครดิตของ บริษัทและของ SAMART มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต อันดับเครดิตของบริษัทเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตของ SAMART อันดับเครดิตของบริษัทเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตของ SAMART เนื่องจาก SAMART ถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 71% และบริษัทยังถือว่าเป็นผู้สร้างรายได้หลักของกลุ่มสามารถอีกด้วย นอกจากนี้ คณะผู้บริหารและแผนกลยุทธ์ของกลุ่มยังมีความเชื่อมโยงกันในระดับสูง SAMTEL ถือเป็นสมาชิกหลักรายสำคัญ (core member) ของ กลุ่ม SAMART ตามเกณฑ์ของวิธีการจัดอันดับเครดิตแบบกลุ่ม (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้งที่เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 ทำให้อันดับเครดิตของบริษัทเป็นไปตามอันดับเครดิตของ SAMART
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการด้าน IT ที่ครบวงจรและผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับในโครงการด้าน IT ที่หลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการภาครัฐ นอกจากนี้ สถานะทางธุรกิจของบริษัทยังมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ที่สม่ำเสมอจากสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงซึ่งช่วยเสริมให้ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทมีความมั่นคงแน่นอนอีกด้วย ในปี 2560 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 6,949 ล้านบาทโดยครึ่งหนึ่งเป็นรายได้จากสัญญาให้บริการ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงไม่ต่ำกว่าปีละ 3,000 ล้านบาทระหว่างปี 2561-2563 รายได้จากสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงที่เพิ่มขึ้นจะเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางธุรกิจของบริษัทยิ่งขึ้น
ความผันผวนจากขนาดและความต่อเนื่องของธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบ ความเสี่ยงของบริษัทมาจากผลประกอบการที่ผันผวนจากธรรมชาติของธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบที่มีขนาดมูลค่าโครงการแตกต่างกัน ในขณะเดียวกัน การดำเนินงานของบริษัทก็มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนและความไม่ต่อเนื่องในการจัดสรรงบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของภาครัฐด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะส่งผลต่อบริษัทไม่มากนักโดยพิจารณาจากจำนวนโครงการที่บริษัทดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบ IT ของประเทศ
มีฐานรายได้จากมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ บริษัทมีมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) ณ สิ้นปี 2560 อยู่ที่ 8,348 ล้านบาท โดยมูลค่างานประมาณ 3,200 ล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2561 และจะรับรู้เป็นรายได้อีก 1,800 ล้านบาทในปี 2562 และอีก 1,000 ล้านบาทในปี 2563 นอกจากนี้ สัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงที่กำลังจะหมดอายุในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าก็คาดว่าจะได้รับการต่อสัญญาต่อไปอีกด้วย
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เฉลี่ยภายใต้ประมาณการพื้นฐานอยู่ที่ 7,000-9,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 เมื่อพิจารณาถึงความต้องการในการพัฒนาระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นเรื่องความล่าช้าที่จะเกิดขึ้นในโครงการต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน
ความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าคู่แข่ง บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับสูง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่า 24% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่า 10% อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันและความล่าช้าของโครงการ โดยคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับ 22%-25% ในช่วงระหว่างปี 2561-2563 และคาดหมายว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 1,300-1,600 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2561-2563
ฐานะทางการเงินที่อยู่ในระดับยอมรับได้ บริษัทยังคงมีสภาพคล่องและโครงสร้างหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ ในปี 2560 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 36.95% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 9.5 เท่า และมีโครงสร้างเงินทุนซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 54.17% ณ สิ้นปี 2560 หนี้สินที่ใช้เป็นทุนดำเนินโครงการของบริษัทส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้นตามระยะเวลาของโครงการที่บริษัททำ และการที่โครงการส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นโครงการภาครัฐซึ่งการจ่ายชำระเงินมีความน่าเชื่อถือเอื้ออำนวยให้บริษัทสามารถหาแหล่งเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการ อีกทั้งยังได้รับเงื่อนไขที่ดีจากผู้ให้กู้ด้วยเช่นกัน
ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับ 50%-56% ในระหว่างปี 2561-2563 โดยพิจารณาจากแผนการลงทุนรวมประมาณ 4,000 ล้านบาทในช่วง ดังกล่าว และคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30% ในช่วงเดียวกัน
สภาพคล่องที่เพียงพอ ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอต่อความต้องการใช้จ่าย โดยแหล่งเงินทุนคาดว่าจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 1,500 ล้านบาท เงินสดและเทียบเท่าเงินสดจำนวน 480 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 และวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 6,000 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีแผนลงทุนรวมมูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาทและมีหนี้ที่ต้องชำระคืนรวมประมาณ 4,000 ล้านบาทในระยะ 12 เดือนข้างหน้าดังกล่าว
แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนถึงการที่ทริสเรทติ้งปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของ SAMART และความเชื่อมโยงของอันดับเครดิตของบริษัททั้ง 2 แห่งคือบริษัทและ SAMART
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงใดใดที่เกี่ยวกับอันดับเครดิตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับอันดับเครดิตของ SAMART เป็นสำคัญซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ของวิธีการจัดอันดับเครดิตแบบกลุ่ม (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้ง