TOP คาด GIM ปีนี้อยู่ที่ 9.9 เหรียญ/บาร์เรล ใกล้เคียงปีก่อน,เล็งออกหุ้นกู้ 2 พันล้านเหรียญรองรับขยายธุรกิจโรงกลั่น

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 21, 2018 16:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัชชัย สิริวิชช์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ และผู้จัดการบริหารหนี้สินและความเสี่ยงทางการเงิน บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ปีนี้จะอยู่ที่ 9.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ใกล้เคียงกับปีก่อนซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง หลังปีนี้ไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ทำให้เดินเครื่องผลิตได้ตามเป้าหมายด้วยอัตราการใช้กำลังกลั่นระดับ 112% หรือราว 3 แสนบาร์เรล/วัน ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศ และภูมิภาค เช่น กัมพูชา เมียนมา และลาว อยู่ในระดับสูง

ส่วนผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) ก็คาดว่าจะมีส่วนต่าง (สเปรด) ราคาผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับสูง โดยประเมินว่าสเปรดจะอยู่ที่ระดับ 310 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้นจากราว 276 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีก่อน จากกำลังการผลิตใหม่ในตลาดโลกที่จะเข้าสู่ระบบช้ากว่าที่คาดการณ์ รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามานั้นมีปริมาณเพียง 1.8 แสนตัน จากเดิมคาดจะมีเข้ามาเพิ่มถึง 3 แสนตัน

ทั้งนี้ มองแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปีนี้น่าทรงตัวอยู่ในระดับสูง หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากช่วงต้นปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 63 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากยังมีอุปทานส่วนเกินอยู่ในช่วงครึ่งปีแรก ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดการณ์ว่าสิ้นปี 61 ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นแตะ 11 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะเดียวกันกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) มีการปรับลดกำลังการผลิตได้ตามข้อตกลง แต่กลุ่มนอกโอเปก ยังคงเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงต้องติดตามการประชุมของกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่มโอเปกในครั้งต่อไป ว่าจะส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันอย่างไร

นายชัชชัย กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าของโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (Clean fuel Project : CFP) ที่มีเป้าหมายจะขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบันนั้น คาดว่าจะสรุปแผนโครงการได้ในไตรมาส 3/61 ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีต่อกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังจะ upgrade ในส่วนขั้นปลาย โดยเฉพาะการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาที่มีมูลค่าต่ำให้เป็นน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน ส่งผลทำให้มาร์จิ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 4 ปี หรือจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 65 โดยใช้งบลงทุนราว 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับธุรกิจเอทานอลที่ปัจจุบันยังคงถือหุ้นบางส่วนใน 2 บริษัทนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาการปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าว ทั้งการขายคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม และการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เป็นต้น คาดว่าจะสามารถสรุปวัตถุประสงค์ได้ภายในปีนี้ โดยโรงเอทานอลมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 6 แสนลิตร/วัน

พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีแผนสร้างคลังสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ (Solvent) ในประเทศเวียดนามตอนเหนือ จากเดิมที่มีการสร้างคลังดังกล่าวแล้วในเวียดนามตอนใต้วางงบลงทุนไว้ราว 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันบริษัทก็อยู่ระหว่างพิจารณาการออกหุ้นกู้ ในวงเงิน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ขยายธุรกิจโรงกลั่น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ