นายธรณ์ ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยออพติคอล กรุ๊ป (TOG) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 61 จะเติบโต 7-8% จากปีก่อนที่ทำได้ 1.91 พันล้านบาท โดยจะมีสัดส่วนรายได้มาจากต่างประเทศเป็นหลัก 90-95% และที่เหลือจะมาจากในประเทศ
"ปีนี้เราตั้งเป้ารายได้โตแบบอนุรักษ์นิยม เนื่องจากเรายังได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทอยู่ ซึ่งถือว่าปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากอย่างมาก ทำให้เรายังคงติดตามดูอย่างต่อเนื่อง"นายธรณ์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/61 น่าจะปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1/60 จากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นราว 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจุบันค่าเงินบาทอยู่ที่ 31 บาท/ดอลลาร์ และบริษัทฯ มีการทำป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบาทไว้ราว 40-50% ของยอดขาย แต่อย่างไรก็ตามยอดขายในรูปของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
นายธรณ์ กล่าวว่า ตลาดต่างประเทศในปีนี้ถือว่ายังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งบริษัทฯ มีสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศดังกล่าวค่อนข้างมาก โดยตลาดกลุ่มยุโรปในปี 61 เริ่มมีการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ ก็อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ในยุโรปเพิ่มเติม จำนวน 1 ราย โดยมีความสนใจสินค้ากลุ่ม Rx Lens ที่มีโอกาสสั่งออเดอร์ในปริมาณมากเข้ามา
ส่วนตลาดสหรัฐฯ หลังจากที่บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท ทีโอจี ยูเอสเอไอเอ็นซี (TOG USA, Inc.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบระบบซอฟท์แวร์ในขั้นตอนสุดท้ายและคาดว่าจะพร้อมใช้งานในช่วงต้นเดือนเม.ย.61 เป็นต้นไป ส่งผลให้คาดว่าในปีนี้บริษัทย่อยในสหรัฐฯ จะสร้างรายได้ให้บริษัทได้เพิ่มราว 1-1.5 ล้านเหรียญฯ และตั้งเป้าในอนาคตจะมีรายได้เติบโตแตะ 10 ล้านเหรียญฯ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายตลาดในตลาดเอเชียเพิ่มมากขึ้นอีก จากก่อนหน้านี้ได้ขยายตลาดเข้าไปบ้างแล้ว แต่ยังมีสัดส่วนการส่งออกที่ค่อนข้างน้อย โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีนที่มีศักยภาพราว 2 ราย คาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมองโอกาสในการขยายตลาดในประเทศไทยเพิ่มขึ้น จากมองเห็นโอกาสการขยายตัวของผู้สูงอายุในไทย ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตได้ในอนาคต
สำหรับการลงทุนในปีบริษัทฯ อยู่ระหว่างพิจารณาในการเพิ่มกำลังการผลิตในเฟสที่ 2 ภายในโรงงานแห่งที่ 2 เพิ่มเติม คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ โดยจะมีมูลค่าการลงทุนเบื่องต้นอยู่ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างและแล้วเสร็จราว 6 เดือน อย่างไรก็ตามกำลังการผลิตปัจจุบันของบริษัทฯ มีการเดินเครื่องเต็ม 100% แล้ว ซึ่งหากมีการลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และน่าจะส่งผลดีต่อสัดส่วนการส่งออกและการขายในประเทศไทย โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 63 จะปรับตัวมาอยู่ที่ 85% และในประเทศ 15% จากปัจจุบันอยู่ที่ 90% และในประเทศ 10%