นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยกดดันจากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่ปัจจัยใปนระเทศยังหนุน คาดดัชนี SET ขะผันผวนในกรอบ 1,775-1,820 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยบวก ได้แก่ TVO ได้ประโยชน์จากส่วนต่าง (Crush margin) ที่มีโอกาสทำ New High อีกครั้งหลังจากมีกระแสความแห้งแล้งในประเทศอาร์เจนตินาซึ่งเป็นผู้ส่งออกกากถั่วเหลืองอันดับ 1 ของโลก ซึ่งอาจทำให้มีการปรับลดคาดการณ์ผลผลิตลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 9 ปี ขณะที่ราคาหุ้นสะท้อนความเป็น Laggard ไปเพียงบางส่วน
นอกจากนี้ ยังแนะนำซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่าจะเป็น target ในการทำ window dressing ได้แก่ CENTEL, TOP, TMB, CPN และ ROBINS รวมทั้งแนะนำหุ้นในตลาด MAI ได้แก่ JKN ผู้นำในการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ คาดกำไรปี 61 ยังถูกกดดันจากต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ แต่กำไรปี 62 มีแนวโน้มเติบโตสูง 43%YoY จากการทยอยรับรู้รายได้ของยอดขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในประเทศ และการเติบโตจากต่างประเทศ ขณะที่ค่าใช้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ลดลง ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลงหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ GBS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ว่าที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 28 มี.ค.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิมที่ 1.5% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องจากปีก่อน รวมถึงนักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นในการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) และมีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันปิดใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีหนุนราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน และการทำ Window Dressing ก่อนสิ้นงวดไตรมาส 1/61
ส่วนปัจจัยที่ยังคงกดดันภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มาจากตลาดกังวลสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อลงโทษที่จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐ ทำให้รัฐบาลจีนออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐวงเงิน 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Fund Flow ผันผวน ในช่วง 1 เดือนย้อนหลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1.1 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้ คือ ในวันที่ 27 มี.ค. สหรัฐ เปิดเผย ดัชนีราคาบ้าน ดัชนีการผลิต ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ 28 มี.ค.การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 2/61 และในวันเดียวกันสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 4/60 ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์
29 มี.ค.อังกฤษจะเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 4/60 (ประมาณการครั้งสุดท้าย) และสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน ก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค
ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ ภาวะสงครามการค้ากลับมาอีกครั้งเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้รัฐบาลจีนตัดสินใจใช้มาตรการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งมีโอกาสที่ยุโรปจะออกมาตรการดังกล่าวด้วย หากสหรัฐฯยังคงปกป้องการค้าของตนต่อไป ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (bond yield) สหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ที่เพิ่งปรับตัวสูงขึ้นตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ร่วงลงอีกครั้ง เนื่องจากความกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างประเทศจะทำให้การค้าโลกหดตัวลง จึงเกิดภาวะ risk off ทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ตลาดทองคำมีการตอบรับไปล่วงหน้าแล้ว และภาพทางเทคนิคมีลักษณะรูปสามเหลี่ยมแบบ descending จึงคาดว่าแรงซื้อจะชะลอลง ทำให้ราคาไม่น่าจะผ่านแนวต้านระดับ 1,350–1,360 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ขึ้นไปได้ และต้องระวังการขายทำกำไร เนื่องจากราคาปรับขึ้นชนแนวต้านดังกล่าว
ทั้งนี้ แนะนำผู้มีสถานะ long ให้ปิดสถานะทำกำไร และ trading short เมื่อหลุด 1,345 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เพื่อเก็บกำไรในจังหวะที่ราคาย่อลง ส่วนพอร์ตระยะกลางถึงยาวให้ซื้อสะสมเมื่อราคาลงมาใกล้ 1,310 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์