นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ กรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แพลนเน็ตคอมมิวนิเคชั่น เอเชีย (PLANET) เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 61 ว่า บริษัทมั่นใจว่าผลงานปีนี้จะพลิกกลับเป็นกำไร โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวม 800 ล้านบาท หรือเติบโต 20% เมื่อเทียบจากปีก่อน ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 80% ทำให้สัดส่วนรายได้ในปีนี้จะมาจากธุรกิจระบบโทรคมนาคมและระบบทีวีดิจิทัล 60% ธุรกิจบริการ 20% และจากรายได้ขายผลิตภัณฑ์ต่างๆภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ 20%
"ปี 61 เป็นปีที่มีสัญญาณที่ดีมากๆ สำหรับธุรกิจของบริษัทและมั่นใจว่าผลประกอบการจะสามารถพลิกเป็นมีกำไรแน่นอนจากงานประมูลที่มีมากขึ้น ซึ่งด้วยความเชี่ยวชาญและความมีมาตรฐานในระดับโลกเกี่ยวกับธุรกิจระบบโทรคมนาคม จึงมั่นใจว่ามีโอกาสที่จะได้งานในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับบริษัทยังจะมีรายได้เข้ามาเพิ่มจากการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย"นายประพัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/61 เป็นต้นไป ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 ที่น่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มการเติบโตในปีนี้เห็นได้อย่างชัดเจนจากธุรกิจโทรคมนาคมที่จะมีโครงการประมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับการจัดซื้อระบบและอุปกรณ์สื่อสารของหน่วยงานของรัฐและรวมถึงจากภาคเอกชนจำนวนมากคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2-3 พันล้านบาท ซึ่งจากการประเมินในเบื้องต้นบริษัทมีโอกาสได้งานราว 300-400 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 25% ของมูลค่ารวม
"เราอยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยภาคเอกชนก็มีงานของเครื่องส่งที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะของสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ,ช่อง 3 และ ช่อง 8 ที่มีการลงทุนระบบ MAN (Metropolitan Area Network) โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมราว 400-500 ล้านบาท เราคาดว่าจะได้รับงาน 1-3 ของงานประมูล ขณะที่งานภาครัฐ ก็จะเป็นงานด้านโทรคมนาคมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มูลค่า 2 พันล้านบาท งานยูโซ่เน็ต เฟส 2 มูลค่าโครงการกว่า 2 หมื่นล้านบาท"นายประพัฒน์ กล่าว
นายประพัฒน์ กล่าวว่า สัดส่วนรายได้ในปีนี้จะมาจากธุรกิจระบบโทรคมนาคมและระบบทีวีดิจิทัล 60%, ธุรกิจบริการ 20% และรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ 20% จากปี 60 ที่มีสัดส่วนรายได้มาจากระบบทีวีดิจิทัล 15%, ธุรกิจบริการ 19%, การขายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์บริษัทฯ 20% และที่เหลือคือธุรกิจระบบโทรคมนาคม
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ "คลาวด์ ออฟฟิศ โซลูชัน" (Cloud Office Solution) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์การให้บริการด้านนวัตกรรมใหม่ ที่รองรับกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และสอดรับในยุคดิจิทัล 4.0 โดยจะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับองค์กรและหน่วยงานที่สำคัญยังสามารถลดต้นทุน และค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสารได้สูงกว่า 30-50% ของค่าใช้จ่ายภายในองค์กร ซึ่งเหมาะกับกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก รวมไปถึงกลุ่มสตาร์ทอัพ โดยอุปกรณ์ทุกอย่างในออฟฟิต จะปรับเปลี่ยนมาประมวลผลระบบคลาวด์ทั้งหมด
บริษัทตั้งเป้าหมายการให้บริการคลาวด์ ออฟฟิศภายใน 1 ปีนี้จะมีลูกค้าใช้บริการประมาณ 100 ราย จากปัจจุบันที่มีลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จำนวน 5 ราย ขณะที่ก็ตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตมาที่ 40 ล้านบาท และในปี 62 จะเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปี (ปี 65) จะมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจบริการเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปีนี้ที่คาดจะอยู่ที่ 20% เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจใหม่คลาวด์ ออฟฟิศ, Internet of Things (IoT) และ Smart City ทั้งการจำหน่ายสินค้าและบริการให้เช่า รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อบริษัทในแง่ของการลดความเสี่ยงจากงานประมูลโครงการโทรคมนาคม
นายประพัฒน์ กล่าวว่า ส่วนโครงการ Smart City ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ เพื่อทดลองใช้กับชุมชน คาดว่าจะสามารถจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ในเดือนมิ.ย.นี้ โดยบริษัทฯ มีความสนใจที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับชุมชนในจังหวัด อย่าง ภูเก็ต ,หัวหิน เป็นต้น
พร้อมกันนี้ บริษัทยังมองโอกาสที่จะขยายการให้บริการคลาวด์ ออฟฟิศไปในประเทศกลุ่ม CLMV อีกด้วย เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ของธุรกิจดังกล่าว จากเดิมที่มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 5% และมาร์จิ้นจากการขายให้เติบโตมากขึ้น คาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 62