นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในเครือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) คาดว่า ยอดขายกลุ่มบรรจุภัณฑ์ในปี 61 จะเติบโตมากกว่าตลาดอาเซียนที่เติบโตราว 5-6% ขณะที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจสามารถทำยอดขายเติบโตราว 7% ต่อปี โดยการเติบโตของยอดขายในปีนี้มาจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานกระดาษบรรจุภัณฑ์ในเวียดนามส่วนขยายที่เปิดเดินเครื่องผลิตเมื่อต้นปี 60
นอกจากนั้น ยังมาจากการเข้าซื้อกิจการและร่วมลงทุน (M&A) ในปีที่ผ่านมา และในปีนี้ก็ยังคงมองหาโอกาสการทำ M&A ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น
"ทิศทางเรายังคงต้อง growth การโตของแพคเกจจิ้งที่ผ่านมาเป็น M&A ช่วง 2-3 ปีเราก็ทำยอดขายได้เติบโตเฉลี่ย 7% เราโตกว่าตลาดได้เล็กน้อย เราก็ยังคงมองหา M&A ต่อเนื่องทั้งในส่วนของกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อื่นๆ"นายธนวงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ได้ปรับเปลี่ยนทิศทางธุรกิจครั้งใหญ่จากเอสซีจี เปเปอร์ มาเป็นเอสซีจี แพคเกจจิ้ง ตั้งแต่กลางปี 58 เนื่องจากการมองเห็นแนวโน้มและโอกาสทางการตลาดของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยังคงมีการเติบโตทั้งในไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมีมูลค่าตลาดทั้งโลกในปี 61 รวม 930,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3% ในขณะที่อาเซียนมีมูลค่า 50,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตประมาณ 5% ซึ่งยังเห็นโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
ประกอบกับการมองปัจจัยภายในของเอสซีจีเองที่มีความพร้อมทั้งในด้านการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งศักยภาพของพนักงานที่พร้อมจะขับเคลื่อนธุรกิจให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่มีโจทย์ความต้องการที่หลากหลายแตกต่างกันไป จึงเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์โดยมุ่งเป็น Total Packaging Solutions Provider หรือผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเพื่อนคู่คิดทางธุรกิจที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร และสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าและผู้บริโภค ด้วยการปรับเปลี่ยนทุกกระบวนการให้สอดคล้องและตอบรับความต้องการ ตั้งแต่ระบบการคิด วิธีการทำงาน และการส่งมอบสินค้าและบริการไปยังลูกค้า
เอสซีจี มีการเตรียมความพร้อมในการเข้าไปสู่ตลาดบรรจุภัณฑ์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพราะการเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ รวมถึงความท้าทายจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก การดำเนินธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เร็วและมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ โดยกลยุทธ์หลักสำหรับการดำเนินธุรกิจคือ การทำงานแบบใกล้ชิดลูกค้า (Customer-Centric)
นายธนวงษ์ กล่าวว่า ยอดขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์คิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของยอดขายรวมของเอสซีจี โดยในปีที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจมียอดขายราว 8.15 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้เป็นยอดขายบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์อื่นๆ ราว 78% และอีก 22% เป็นยอดขายเยื่อกระดาษและกระดาษขาว สำหรับยอดขายดังกล่าวเป็นยอดขายจากอาเซียน 30% ในประเทศ 60% ส่วนที่เหลือ 10% เป็นการส่งออกไปประเทศอื่นๆ
ทั้งนี้ กลุ่มบรรจุภัณฑ์ตั้งงบลงทุนในปีนี้ราว 3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นงบซ่อมบำรุงและดูแลโรงงานตามปกติ ไม่นับรวมงบการทำ M&A ซึ่งในปีที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจได้เข้าไปซื้อกิจการรวม 4 แห่ง ใช้เงินลงทุนราว 2.6 พันล้านบาท
ปัจจุบัน กลุ่มบรรจุภัณฑ์มีฐานการผลิตหลักในไทย ,เวียดนาม,ฟิลิปปินส์,มาเลเซีย โดยมีกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ 2.5 ล้านตัน/ปี , กล่องบรรจุภัณฑ์กว่า 1 ล้านตัน/ปี ,บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัว (Flexible Packaging) ,บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบแข็ง (Rigid Plastic Packaging) นอกจากนี้ยังมีการผลิตกระดาษพิมพ์เขียนและเยื่อกระดาษอีกด้วย
นายธนวงษ์ กล่าวว่า ธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียนที่ปัจจุบันเริ่มมีความต้องการลดลง ก็จะเริ่มหันพัฒนาเพื่อนำเยื่อกระดาษมาใช้ในกลุ่มอื่น ๆ เช่น กระดาษลูกฟูก สิ่งทอ บรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามทิศทางและโอกาสทางการตลาดของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยังคงเติบโตทั้งในไทยและอาเซียน
นอกจากนี้เอสซีจีเองก็มีความพร้อมทั้งในด้านการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ รวมทั้งศักยภาพของพนักงานที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยมุ่งเป็น Total Packaging Solutions Provider หรือผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร
สำหรับเทรนด์ของไลฟ์สไตล์ที่น่าจับตามองของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นความยั่งยืน มีส่วนช่วยลดการใช้ทรัพยากร ,ผู้บริโภคเน้นความสะดวกสบาย ,ใส่ใจคุณภาพชีวิตและสุขภาพ และการเปลี่ยนแปลงของดิจิทัลแพลตฟอร์ม ตลอดจนการเติบโตของ E-commerce ที่ลูกค้านิยมหันมาสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้บรรจุภัณฑ์เติบโตตามไปด้วย โดยเอสซีจี ได้เริ่มป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาด E-commerce เมื่อปี 59 โดยมียอดขายเพียง 26-27 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ทำให้ตั้งเป้าหมายยอดขายในส่วนนี้เพิ่มเป็นเท่าตัวในปีนี้
"เรานำเทรนด์มาเป็นโจทย์สำคัญในการกำหนดทิศทางเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต พร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บรรจุภัณฑ์ โดยได้ลงทุนในกิจการบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งในไทยและอาเซียนเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม"นายธนวงษ์ กล่าว