(เพิ่มเติม) TOA ตั้งเป้ายอดขายปี 61 โต 10% จากปีก่อน 1.57 หมื่นลบ.พร้อมเพิ่มศักยภาพการทำกำไร

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 28, 2018 12:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) (TOA) ตั้งเป้ายอดขายปี 61 เติบโตประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้จากการขาย 15,717.7 ล้านบาท มั่นใจโรงงานใหม่ 3 แห่งในอินโดนีเซีย เมียนมา และกัมพูชาก่อสร้างแล้วเสร็จและทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ตามแผนงานตั้งแต่ไตรมาส 3/61 ถึงไตรมาส 1/62 ดันกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88 ล้านแกลลอนต่อปี

นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ TOA เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทวางเป้าหมายรายได้จากการขายเติบโตประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา และเพิ่มศักยภาพการทำกำไรที่ดีขึ้น โดยตั้งเป้าหมายมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ปีนี้ที่ราว 18% จากสิ้นปี 60 อยู่ที่ 15.5% เป็นไปตามยอดขายที่เติบโต และในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับราคาสินค้าขึ้นเฉลี่ย 5% ซึ่งเป็นการปรับราคาสินค้าในรอบ 3 ปี นับจากปี 57 เพื่อรองรับกับการปรับขึ้นของราคาวัตถุดิบในอนาคต และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับผลการดำเนินงานเหมือนอย่างปีก่อน โดยต้นทุนวัตถุดิบคิดเป็น 70% ของต้นทุนรวม ขณะที่ยังได้รับผลบวกจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าอีกด้วย

สำหรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นในปีนี้นอกจากจะมาจากการปรับขึ้นราคาขายสินค้าแล้ว ยังมาจากการมุ่งเน้นขยายตลาดทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน โดยบริษัทจะเพิ่มปริมาณเครื่องผสมสีอัตโนมัติภายในร้านผู้แทนจำหน่ายและในห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่อย่างต่อเนื่องอีกประมาณ 400-500 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศไทยประมาณ 150-200 เครื่อง ,ในภูมิภาคอาเซียนประมาณ 250-300 เครื่อง จากสิ้นปีที่ผ่านมาที่มีการติดตั้งเครื่องผสมสีอัตโนมัติแล้ว 6,010 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศ 4,204 เครื่อง และในภูมิภาคอาเซียน 1,806 เครื่อง

นอกจากนี้ ในตลาดภูมิภาคอาเซียนก็อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตสี 3 แห่ง ในประเทศอินโดนีเซีย เมียนมา และกัมพูชา ใช้งบลงทุนรวมกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งโรงงานทั้ง 3 แห่ง คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/61 และไตรมาส 4/61 และไตรมาส 1/62 ตามลำดับ ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อเพิ่มยอดขายในแต่ละประเทศและก้าวเป็นผู้นำสีทาอาคารในภูมิภาคอาเซียนตามวิชั่นขององค์กร โดยคาดว่าจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายใน 5-7 ปี

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โรงงานผลิตทั้ง 3 แห่งในอินโดนีเซีย เมียนมา และกัมพูชาก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทจะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88 ล้านแกลลอนต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ ประกอบกับสัดส่วนยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายต่างประเทศในปีนี้จะเพิ่มเป็น 15-16% จากปีก่อนอยู่ที่ 13.2% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20% ภายในปี 62 ส่วนในระยะยาวอีก 3-5 ปีข้างหน้าคาดการณ์ว่าสัดส่วนยอดขายต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 28%

นายจตุภัทร์ กล่าวว่า บริษัทยังตั้งเป้ายอดขายในประเทศอินโดนีเชียปีนี้จะเพิ่มเป็นประมาณ 300 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท ในปี 62 ส่วนในเมียนมาและกัมพูชาตั้งเป้ายอดขายในปี 62 อยู่ที่ 200-300 ล้านบาท และ 300-400 ล้านบาทตามลำดับ หลังจากที่โรงงานใหม่ประเทศดังกล่าวเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย

"เรามองว่าทั้ง 3 ประเทศเป็นตลาดที่มีศักยภาพและกำลังอยู่ในช่วงเติบโตจากปริมาณความต้องการใช้สีทาอาคารที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เช่น อินโดนีเซียที่มีอัตราการบริโภคสีทาอาคาร ณ สิ้นปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 6 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ประเทศไทยมีอัตราการบริโภคสีทาอาคารเฉลี่ยอยู่ที่ 8 ลิตรต่อคนต่อปี และสิงคโปร์เฉลี่ยอยู่ที่ 15 ลิตรต่อคนต่อปี โดยมองว่าตลาดสีเกรดพรีเมียมมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เนื่องจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสีคุณภาพสูงที่ใช้งานได้ยาวนานเพื่อความคุ้มค่า"

นายจตุภัทร์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดสีทาอาคารในปีนี้คาดว่าตลาดในประเทศจะมีอัตราเติบโต 3-5% หรือมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการลงทุนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง การพัฒนารถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบิน และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเมืองและความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์วัสดุตกแต่ง ส่วนแนวโน้มตลาดสีทาอาคารในภูมิภาคอาเซียนคาดว่าในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เมียนมา กัมพูชา จะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าประเทศไทย เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังขยายตัวและอัตราการบริโภคสีทาอาคารที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต

ส่วนภาพรวมการแข่งขันของตลาดสีทาอาคารปีนี้ คาดว่าน่าจะยังคงมีการแข่งขันสูงอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจะมีการสร้างการรับรู้เพื่อให้กลุ่มลูกค้ามีส่วนในการตัดสินใจเลือกสีเองได้ โดยไม่ต้องผ่านผู้รับเหมาโดยตรง ซึ่งบริษัทวางงบลงทุนด้านการตลาดปีนี้ไว้ราว 5% ของยอดขายรวม และวางงบลงทุนปกติ 400 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงเครื่องเดิมให้มีประสิทธิภาพ รองรับกำลังการผลิต และใช้พัฒนาระบบเทคโนโลยีให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ฐานะการเงินของ TOA ในปัจจุบันถือว่ามีความแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดพร้อมขยายธุรกิจ และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.2 เท่า

นายจตุภัทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมองแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 น่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/60 หลังมีการปรับราคาขายสินค้าขึ้น 5%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ