นายธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน ตามการรับรู้รายได้ในธุรกิจโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น และจะมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ Jin Wellbeing County ซึ่งเป็นโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัยและให้บริการทางการแพทย์อย่างครบวงจรในช่วงปลายปีนี้
โดยธุรกิจโรงพยาบาล คาดว่าจะมีปริมาณคนไข้เพิ่มขึ้นตามการขยายขนาดโรงพยาบาลธนบุรี 1 และธนบุรี 2 ขณะเดียวกันจะปรับเพิ่มค่ารักษาพยาบาล และเวชภัณฑ์ เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นด้วย รวมถึงมีความสามารถในการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน จึงจะช่วยให้มีผู้ป่วยเข้ามารักษาได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังได้ก่อสร้างอาคารจอดรถแห่งใหม่ที่โรงพยาบาลธนบุรี 1 ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับรถเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 150 คัน และจะก่อสร้างอาคาร 3 ของผู้ป่วยนอกและอาคารผู้ป่วยในที่โรงพยาบาลธนบุรี 2 เพื่อขยายพื้นที่ให้บริการผู้ป่วย โดยคาดทั้ง 2 โครงการจะแล้วเสร็จในปี 63
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินโครงการ Jin Wellbeing County ซึ่งเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจรแห่งแรกในไทย ขณะนี้มียอดจองซื้อแล้ว จำนวน 115 ยูนิต คิดเป็นยอดขายที่รอโอน (Backlog) จำนวน 600ล้านบาท จากทั้งหมดที่เปิดขายในเฟสแรก จำนวน 494 ยูนิต มีราคาเริ่มต้นที่ 4 ล้านบาทต่อยูนิต โดยบริษัทจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์โครงการในช่วงไตรมาส 4/61 สำหรับโครงการทั้งหมดมีอยู่ 1,370 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท จะทยอยเปิดในปีถัด ๆ ไป
นายธนาธิป กล่าวอีกว่า การดำเนินงานของโรงพยาบาล Welly Hospital ในเมืองเวยไห่ ประเทศจีน คาดว่าในปี 61 จะมีผลขาดทุนที่ลดลง จากงวดปี 60 ที่ขาดทุนอยู่ราว 120 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนแล้ว จึงส่งผลให้บริษัทสามารถทำการตลาดได้มากขึ้น
ส่วนการลงทุนในโรงพยาบาล ARYU International Hospital ที่ประเทศเมียนมา ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 40% มีจำนวนเตียงผู้ป่วยใน 200 เตียง คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในช่วงเดือน มิ.ย. 61 เบื้องต้นคาดจะมีผู้ป่วยนอกเข้ามาใช้บริการวันละ 200 คน และคาดสิ้นปีจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มเป็น 300 คน โดยจะมีอัตราการใช้บริการประมาณ 1,700 บาทต่อราย
สำหรับโครงการพัฒนาโรงพยาบาลศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ ธนบุรี ถนนบำรุงเมือง เพื่อเป็นศูนย์รวมบริการด้านสุขภาพ คาดว่าจะพัฒนาและเปิดให้บริการในปี 61 ซึ่งจะมีบริการที่ครอบคลุมทั้งแผนกตรวจรักษาผู้ป่วยนอก ห้องพักรักษาตัวสำหรับผู้ป่วยพักฟื้น ตลอดจนแผนกการรักษาอื่น ๆ
นอกจากนี้ การที่บริษัทได้มีโอกาสเข้าไปรับบริหารจัดการ โรงพยาบาลที่เวียดนาม ก็มีโอกาสที่บริษัทจะเข้าไปถือหุ้นในโรงพยบาลดังกล่าวด้วย โดยจะต้องรอดูนโยบายการพัฒนาโครงการของโรงพยาบาลว่ามีศักยภาพเพียงพอในการดำเนินการหรือไม่ โดยลักษณะดังกล่าวจะเหมือนกับการที่บริษัทเข้าไปถือหุ้นในโรงพยบาลที่เมียนมา