บมจ.ไทรทัน โฮลดิ้ง (TRITN) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเงินมัดจำในธุรกิจโรงไฟฟ้าจำนวน 120 ล้านบาทว่า ขณะนี้คณะกรรมการชุดปัจจุบันได้มอบหมายให้สำนักทนายความดำเนินการทางกฏหมายอย่างถึงที่สุด เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายคืนจากกลุ่มผู้ขายที่มีเจตนาไม่สุจริต
สืบเนื่องจากกรณี บมจ.สเตรกา (STREGA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TRITN และ บริษัท ลูเซนท์ เอนเนอร์จี จำกัด (Lucent) ซึ่งบริษัทย่อยทางอ้อมของ STREGA ที่ขณะนั้นนำโดย ม.ล.ศานติดิศ ดิศกุล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ TRITN และนายสมชาย ศิริวิชยกุล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STREGA พร้อมด้วยคณะกรรมการชุดเก่า มีมติให้กลุ่มบริษัทเข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญในธุรกิจโรงไฟฟ้า จำนวน 6 โรง มูลค่ารวมทั้งสิ้น 683 ล้านบาท แบ่งวางมัดจำงวดที่หนึ่ง จำนวน 60 ล้านบาท และงวดที่สอง จำนวน 60 ล้านบาท ในวันที่ 7 เม.ย.59 และวันที่ 22 เม.ย.59 ตามลำดับ รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 120 ล้านบาท ให้กับกลุ่มผู้ขายที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้า 2 ราย คือ บริษัท อุดรธานีโซล่า พาวเวอร์ จำกัด และ บริษัท แม่โขงกรีนพาวเวอร์ จำกัด โดยแต่ละบริษัทให้หุ้นสามัญจำนำไว้เพื่อเป็นหลักประกันจำนวน 51% ของทุนชำระแล้ว และกลุ่มผู้ขายมอบหมายให้ นายเฉลิมวุธ ปัญญาสวัสดิ์ มีอำนาจลงนามในสัญญาและเป็นผู้รับเงินมัดจำดังกล่าว
โดยสัญญาซื้อขายจัดทำขึ้นในวันที่ 4 เม.ย.59 ก่อนวันประชุม จากนั้นวันที่ 5 เม.ย.59 คณะกรรมการบริษัท STREGA และคณะกรรมการบริษัท TRITN มีมติอนุมัติการเข้าทำรายการ และภายหลังจากการอนุมัติการทำรายการดังกล่าวแล้ว กลุ่มบริษัทและกลุ่มผู้ขายได้ลงนามในสัญญาซื้อขายโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน ในวันที่ 7 เม.ย.59
ทั้งนี้ กรรมการที่เข้าร่วมพิจารณาอนุมัติ ประกอบด้วย คณะกรรมการ TRITN จำนวน 8 ราย จากทั้งหมด 9 ราย คือ 1. พล.อ.พรชัย กรานเลิศ 2. นางจุไรรัตน์ ปันยารชุน 3. นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม 4. นายทรงยศ เดชะไกศยะ 5. นางนวลพรรณ ล่ำซำ 6. ม.ล.ศานติดิศ ดิศกุล 7. นายชูชัย วนิชเรืองชัย 8. นายวิชัย ใบประเสริฐ
และคณะกรรมการ STREGA ประกอบด้วยกรรมการจำนวน 9 ราย จากทั้งหมด 9 ราย คือ 1. พล.ท.ไสยสิทธิ์ บุณยรัตพันธุ์ 2. นายปัญญา จั่นสกุล 3. นางผานิต ศุภกิจวิเลขการ 4. นางสมฤดี ธรรมวรรธนะ 5. นายสมชาย ศิริวิชย 6. นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ 7. นายชูชัย วนิชเรืองชัย 8. นายเชาวลิต ศุภนคร 9. นายวิชัย ใบประเสริฐ
เมื่อครบกำหนดระยะเวลาในวันที่ 6 ต.ค.59 กลุ่มผู้ขายไม่สามารถส่งมอบโรงไฟฟ้าได้ จึงได้เจรจาขอเลื่อนการส่งมอบออกไปเป็นวันที่ 6 ก.พ.60 พร้อมนำหุ้นสามัญของบริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าอีก จำนวน 2 บริษัท คือบริษัท แม่โขงโซล่าพาวเวอร์ จำกัด จำนวน 37.8% และบริษัท แสนแสง จำกัด จำนวน 100% มาจำนำไว้เป็นหลักประกันเพิ่มเติม พร้อมทั้งตกลงจะคืนเงินมัดจำแก่กลุ่มบริษัท จำนวน 120 ล้านบาท รวมถึงจ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 12% ต่อปี รวมทั้งสิ้น จำนวน 132 ล้านบาท หากกลุ่มผู้ขายไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อนได้
และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในวันที่ 6 ก.พ.60 กลุ่มผู้ขายไม่สามารถทำได้ตามสัญญาอีกเช่นเดิม คณะกรรมการของกลุ่มบริษัทชุดปัจจุบันจึงได้บอกเลิกสัญญา และติดตามทวงถามถึงเงินมัดจำ จำนวน 132 ล้านบาทจากกลุ่มผู้ขาย รวมทั้งแจ้งให้กลุ่มผู้ขายโอนหุ้นสามัญที่เป็นหลักประกันมาให้กลุ่มบริษัท แต่กลุ่มผู้ขายเพิกเฉยไม่คืนเงินมัดจำและ/หรือจดแจ้งชื่อของบริษัท ลูเซนท์ เอนเนอร์จี จำกัด ในฐานะที่เป็นผู้รับจำนำหุ้นสามัญดังกล่าว เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ตีความได้ว่ากลุ่มผู้ขายมีเจตนาที่ไม่สุจริต คณะกรรมการของกลุ่มบริษัทชุดปัจจุบันเห็นว่าประเด็นปัญหาดังกล่าวมีความสำคัญอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้สำนักงานทนายความดำเนินการทางอาญาในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงกับกลุ่มผู้ถือหุ้น และทางแพ่งเพื่อเรียกเงินต้นและดอกเบี้ยคืน จำนวน 132 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เงินมัดจำดังกล่าวข้างต้นนั้น บริษัทได้ตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าเงินมัดจำไว้เต็มจำนวนแล้ว ในงบการเงินของบริษัท ประจำปี 2559 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 และบริษัทได้เปิดเผยความคืบหน้าคดีไว้แล้วในงบการเงินของบริษัท ประจำปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.60 ปัจจุบันการดำเนินคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการของ บก.ปอศ.