ทริส คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ของ CK ที่ระดับ "A-" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 29, 2018 11:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.ช.การช่าง (CK) ที่ระดับ "A-"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำในประเทศไทย ตลอดจนความสามารถในการรับงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่และโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งความแข็งแกร่งในการดำเนินโครงการและความยืดหยุ่นทางการเงินที่เกิดจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงและการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต คือ การเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศ บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่เข้มแข็งซึ่งเกิดจากการมีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศของบริษัท โดยบริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุด 3 รายที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อพิจารณาในแง่ของรายได้และสินทรัพย์ ทั้งนี้ บริษัทมีประสบการณ์ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ยาวนานและได้รับการยอมรับทั้งในด้านความสำเร็จในการประมูลงานและผลสำเร็จของงาน

บริษัทมีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างที่หลากหลายครอบคลุมงานก่อสร้างทั่วไป เช่น งานก่อสร้างถนน ทางด่วน อาคาร และสะพาน ไปจนถึงงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น งานโครงการระบบขนส่งใต้ดินและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งผลงานในการก่อสร้างโครงการที่มีความสลับซับซ้อนที่หลากหลายจำนวนมากของบริษัทช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันประมูลงานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การที่บริษัทมีฐานทุนขนาดใหญ่ยังช่วยให้บริษัทสามารถเข้าร่วมประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐอีกด้วย

และนอกเหนือจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักแล้ว บริษัทยังมีการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อีกด้วย

การลงทุนเชิงกลยุทธ์ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจและเสริมความยืดหยุ่นทางการเงิน จากการที่บริษัทมีธุรกิจหลักที่มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงดังกล่าว บริษัทจึงได้วางแผนสร้างรากฐานที่เข้มแข็งในการสร้างรายได้ประจำเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดจากอุปสงค์ด้านงานก่อสร้างที่ไม่ค่อยขยายตัวเท่าที่ควร บริษัทมีการลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 3 ราย ได้แก่ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) บมจ. ทีทีดับบลิว (TTW) และ บมจ. ซีเคพาวเวอร์ (CKP) โดยบริษัททั้ง 3 แห่งดังกล่าวดำเนินงานที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อาทิ ระบบขนส่งมวลชนและสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานหรือสัญญาซื้อขายระยะยาว

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำในระดับหนึ่งแล้วจากการที่บริษัทเหล่านี้ได้จ้างให้บริษัทดำเนินโครงการก่อสร้างจำนวนมากที่เป็นส่วนของการขยายงานของแต่ละบริษัท ความสามารถในการสร้างงานก่อสร้างของบริษัทเองช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากวงจรของอุตสาหกรรมลงได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับเงินปันผลจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอและมีกำไรจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์อีกด้วย

การลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทดังกล่าวช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถานะทางธุรกิจของบริษัทอีกทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกเช่นกัน

ในขณะที่การลงทุนเชิงกลยุทธ์ดังกล่าวก็มีส่วนทำให้ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่าผู้รับเหมาก่อสร้างทั่วไปจากการที่บริษัทจะต้องให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการที่เป็นสัญญาสัมปทานซึ่งทำให้บริษัทมีภาระหนี้จำนวนมาก

มูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบช่วยรักษาระดับรายได้ใน 2 ปีข้างหน้าบริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างในมือที่ยังไม่ส่งมอบมูลค่า 72,200 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 โดยมีโครงการหลัก ๆ ได้แก่ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 25,500 ล้านบาท โครงการซ่อมบำรุงและซื้อเครื่องจักรรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมูลค่า 16,100 ล้านบาท และโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีมูลค่า 13,900 ล้านบาท ทั้งนี้ ทั้ง 3 โครงการมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนถึง 77% ของมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบทั้งหมดของบริษัท

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 35,000-38,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 ทั้งนี้ งานรับเหมาก่อสร้างในมือจำนวนมากที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบันจะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของประมาณการรายได้ในปี 2561 ประมาณ 50% ในปี 2562 และประมาณ 35% ในปี 2563

ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองในเชิงบวกสำหรับอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจากนโยบายการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการของภาครัฐ ซึ่งภาพลักษณ์ทางการตลาดที่เข้มแข็งจะช่วยเสริมให้บริษัทเติบโตต่อไปได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้รับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นปัจจัยกดดันอันดับเครดิตต่อไปเนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันกันซึ่งจะส่งผลกดดันต่ออัตรากำไรของผู้รับเหมาก่อสร้างในที่สุด

ผลการดำเนินงานเป็นไปตามคาด โดยผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 ใกล้เคียงกับประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง โดยรายได้ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 36,071 ล้านบาท ลดลง 21% จากปีก่อนหน้า ซึ่งในปี 2559 บริษัทมีรายได้เป็นสถิติสูงสุดอยู่ที่ 45,809 ล้านบาท โดยประมาณครึ่งหนึ่งเป็นรายได้ที่มาจากโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปี 2560 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.3% จาก 7.2% ในปี 2559 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานในปี 2560 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,790 ล้านบาท จาก 1,510 ล้านบาทในปี 2559

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 8%-8.5% โดยเฉลี่ยในช่วงปี 2561-2563 และเงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2,600 ล้านบาทต่อปี

ภาระหนี้ปรับตัวดีขึ้น อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากภาระหนี้ที่สูงของบริษัท โดย ณ สิ้นปี 2560 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 62.21% ลดลงจาก 72.39% ในปี 2559 อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากที่มีการโอนภาระเงินกู้ยืมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงไปให้แก่บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพแล้วซึ่งเป็นไปตามประมาณการของทริสเรทติ้ง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเมื่อพิจารณาจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและเงินให้กู้ยืมระยะยาวในโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี

ณ เดือนธันวาคม 2560 โครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีได้เบิกเงินกู้ยืมไปแล้วจำนวน 11,188 ล้านบาท อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ในระดับต่ำที่ 2.64% ณ สิ้นปี 2559 และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 7.10%

ณ สิ้นปี 2560 ทริสเรทติ้งมองว่าภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันแม้ว่าบริษัทจะมีภาระหนี้สูงกว่าผู้รับเหมารายอื่น ๆ ที่ได้รับอันดับเครดิตในระดับเท่ากันก็ตาม ทั้งนี้ เนื่องจากการประเมินอันดับเครดิตได้มีการพิจารณาถึงโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัทที่เป็นทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้ประกอบธุรกิจลงทุนด้วย

สภาพคล่องที่เพียงพอ โดยบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอ โดย ณ เดือนธันวาคม 2560 บริษัทมีเงินสดจำนวน 6,689 ล้านบาทและมีเงินลงทุนชั่วคราวอีกจำนวน 2,208 ล้านบาท ในช่วงปี 2561 ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาทและเงินปันผลจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 600-800 ล้านบาท ในขณะที่ภาระหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะมีจำนวนประมาณ 3,709 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทจะชำระหนี้ด้วยเงินรายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหรือการออกหุ้นกู้ชุดใหม่

นอกจากนี้ เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนทั้ง 3 แห่งยังช่วยเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย โดย ณ เดือนธันวาคม 2560 เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 54,173 ล้านบาท หรือประมาณ 1.4 เท่าของภาระหนี้รวมของบริษัท อย่างไรก็ดี บริษัทมีแนวโน้มที่จะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัททั้ง 3 แห่งนี้ในระดับหนึ่งต่อไป

ในช่วงปี 2561-2563 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 3 เท่า ส่วนอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมนั้นคาดว่าจะอยู่ในช่วง 6%-8% ทั้งนี้ บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3 เท่าเอาไว้เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของหุ้นกู้ โดยอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.27 เท่า ณ สิ้นปี 2560

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้ได้งานใหม่ ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 35,000-38,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 งานในมือจำนวนมากจะช่วยรักษาระดับรายได้ในอนาคตของบริษัท นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูงกว่า 8% โดยเฉลี่ยเอาไว้ได้แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงก็ตาม รวมทั้งจะยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 65% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น ได้แก่ กรณีที่บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้สูงกว่าประมาณการและสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 60% เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องได้ ในขณะที่ปัจจัยลบสำหรับอันดับเครดิต ได้แก่ การมีต้นทุนก่อสร้างในโครงการหลัก ๆ ที่สูงกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ หรือการให้การสนับสนุนทางการเงินที่มีมูลค่าสูงแก่บริษัทในกลุ่มนอกเหนือจากที่ประมาณการไว้ซึ่งจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อกระแสเงินสดของบริษัทเป็นอย่างมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ