บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และสมาชิกร่วมโครงการ Southeast Asia - Japan 2 Consortium (SJC2) ได้ลงนามข้อตกลงกับ NEC Corporation ร่วมสร้างเครือข่ายสายเคเบิ้ลใต้น้ำประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับการเชื่อมโยงระบบสื่อสารระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียเหนือ ได้แก่ สิงคโปร์ ไทย กัมพูชา เวียดนาม ฮ่องกง ไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น โดยสายเคเบิ้ลมีความยาวกว่า 10,500 กิโลเมตร เชื่อมต่อทั้งหมด 11 จุดในภูมิภาค คาดจะสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4/63
นายวิเชาวน์ รักพงษ์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริษัท (ร่วม) TRUE กล่าวว่า กลุ่มทรูได้วางงบร่วมลงทุนในโครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ SJC2 ประมาณ 3.6 พันล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในช่วง 15 ปี นับจากปีนี้เป็นต้นไป โดยจะมีความจุทั้งสิ้น 18 เทราไบร์ต่อวินาที แบ่งเป็น การเชื่อมต่อไปสิงคโปร์ 9 เทราไบร์ต่อวินาที และการเชื่อมต่อไปฮ่องกงอีก 9 เทราไบร์ต่อวินาที จากปัจจุบันบริษัทมีความจุเพียง 1 เทราไบร์ต่อวินาที และมีการใช้งานอยู่ที่ 800 กิกะบิต (Gbps)
ระบบเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงดังกล่าวมีความจุสูงสุดถึง 8 คู่ใยแก้วนำแสง (fiber pair) รองรับความจุ 144 เทราไบต์ต่อวินาทีเมื่อเริ่มต้น ซึ่งเทียบเท่าการทำสตรีมมิ่งวิดิโอความละเอียดสูงถึง 5.76 ล้านวิดิโอต่อวินาที ทำให้สามารถรองรับการใช้งาน วิดีโอสตรีมมิ่ง,วิดิโอระดับความคมชัดสูง ,แอปพลิเคชั่นเสมือนจริง ,การสื่อสารในระบบ 5G ,ปัญญาประดิษฐ์ ,ระบบคลาวด์ ,การวิเคราะห์ข้อมูล ,หุ่นยนต์ และ Internet of Things
โครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ SJC2 ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของกลุ่มทรูในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งกลุ่มทรูและประเทศไทย ในฐานะบริษัทเอกชนไทย กลุ่มทรูมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งโครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ SJC2 นี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบการสื่อสารของชาติและสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล โดยเคเบิ้ลใต้น้ำดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะทำให้กลุ่มทรูสามารถเพิ่มศักยภาพและคงความเป็นผู้นำทางธุรกิจทั้งในด้านโมบายล์ และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์
ด้านนายสุพจน์ มหพันธ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศ TRUE กล่าวว่า การร่วมมือกับพันธมิตรผู้นำในอุตสาหกรรมเคเบิ้ลใต้น้ำระดับโลกในโครงการ SJC2 จะช่วยตอบโจทย์กลุ่มทรูในการนำเสนอบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และแผนการขยายเกตเวย์ของกลุ่มทรู เนื่องจากสามารถเพิ่มขนาดแบนด์วิธได้อย่างมีนัยสำคัญ และทำให้เครือข่ายเกตเวย์มีความหลากหลายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อีกทั้งจะทำให้กลุ่มทรูมีโอกาสที่จะรุกขยายและสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ สามารถรองรับความต้องการใช้งานด้านสื่อสารโทรคมนาคมที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค รวมทั้งยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ และยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศุนย์กลางของภูมิภาค AEC
"การเข้าร่วมในโครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ SJC2 ของกลุ่มทรู จะเพิ่มความแข็งแกร่งและความหลากหลายของเครือข่ายเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งของบริษัทและของประเทศ ซึ่งเป็นความตั้งใจของกลุ่มทรูที่จะนำเสนอเครือข่ายที่ดีที่สุด รองรับความต้องการใช้บริการด้านดิจิทัลและคอนเวอร์เจนซ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้คนที่ต้องการใช้ดาต้าและสตรีมมิ่งอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการใช้งานในดิจิทัลแพล็ตฟอร์มอื่นๆ รวมทั้ง IoT โซลูชั่นส์ ซึ่งจะตอกย้ำความเป็นผู้นำของประเทศทั้งในฐานะเป็นผู้ให้บริการบรอดแบรนด์อันดับ 1 และผู้นำตลาดบรอดแบนด์ดาต้าไร้สาย ที่จะช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมด้านการเชื่อมโยงต่อการสื่อสารระหว่างประเทศของไทย"
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้เทคโนโลยีจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งการลงทุนในโครงการดังกล่าว ถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น โดยมองว่าหลังจากที่โครงการเคเบิ้ลใต้น้ำดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 63 จะส่งผลให้ต้นทุนอินเตอร์ต่อหน่วยปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน และยังช่วยให้ต้นทุนอินเตอร์ของผู้บริโภคลดลงไปด้วย รวมถึงการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ระหว่างประเทศก็มีความง่ายขึ้น โดยเฉพาะบริษัทเอกชนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย