นายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป (CWT) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าจะเป็น Holding Company ในอนาคต จากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่มีแผนขยายธุรกิจอื่น ๆ เข้ามาเสริมธุรกิจเดิม โดยการมองธุรกิจที่กำลังเป็นกระแสนิยม และหาพันธมิตรร่วมลงทุน ประกอบกับมุ่งเน้นการบริหารเงินทุน
ล่าสุดบริษัทได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นใน บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชัน จำกัด (Sakun C) พร้อมเตรียมเงินทุนหมุนเวียนราว 350 ล้านบาท หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50.01% ใน Sakun C ซึ่งประกอบธุรกิจรับออกแบบและประกอบเรืออลูมิเนียมและยานพาหนะอื่นๆ เพื่อหวังต่อยอดธุรกิจและช่วยเสริมกิจการที่มีอยู่ของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งขึ้น เนื่องจาก Sakun C มีความเชี่ยวชาญในด้านการผลิตเรือและเทคโนโลยีที่ใช้ทั้งในการประกอบและการผลิตมีมาตรฐานเดียวกันกับการผลิตรถยนต์
วัสดุที่ใช้ผลิตเรือเป็นนวัตกรรมใหม่ โดยใช้อลูมิเนียมทดแทนไฟเบอร์และไม้ ซึ่งแม่พิมพ์ทุกชิ้นส่วนมีคุณภาพสูง ทดแทนการพับ ตัด ต่อ และเชื่อมแบบเดิม พร้อมทั้งใช้โครงสร้างแข็งแรงและมีขนาดใหญ่เพื่อลดรอยต่อ เพิ่มความแข็งแรง ซึ่งได้ผ่านการทดสอบทางวิศวกรรม ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ทั้งเบา แข็งแรง ซ่อมบำรุงน้อย และอัตราการสิ้นเปลืองน้อยกว่าและมีความปลอดภัยสูงไม่ว่าจะเป็นเรือส่วนบุคคล สปีดโบ้ท และเรือขนาดเล็ก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย และมีนวัตกรรมที่ล้ำหน้า เนื่องจาก Sakun C มีทีมงานออกแบบ วิจัยพัฒนา และกระบวนการผลิต การประกอบเอง ผ่านการรับรองมาตรฐานตามคลาสเรือสากล
ทั้งนี้ Sakun C รับทำแม่พิมพ์สำหรับผลิตตัวถังรถยนต์ได้ทุกชิ้นส่วน และส่งตรงบริษัทชั้นนำทั่วโลก เช่น ฮอนด้า นิสสัน เป็นต้น และมีความชำนาญชิ้นงานขนาดใหญ่ เช่น งานโลหะสำหรับสั่งทำพิเศษ ซึ่งมีประสบการณ์กว่า 20 ปี ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมและต่อยอดธุรกิจของบริษัทที่อยู่เดิมได้เป็นอย่างดี
"การเข้าลงทุนในสกุลฎ์ซีฯ ในครั้งนี้นั้น ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมที่มีอยู่ของบริษัทฯ ให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น และช่วยเสริมธุรกิจใหม่ให้บริษัทมีการกระจายรายได้ที่มาจากหลากหลายช่องทางมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งบริษัทสกุลฎ์ซีฯ ก็มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการผลิตและต่อเรือเป็นอย่างดี มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ซึ่งในครั้งนี้น่าจะช่วยเสริมให้บริษัทฯ มียอดขายที่เติบโตขึ้นได้และน่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้" นายวีระพล กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 61 บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 2.4 พันล้านบาท จากยอดขายเติบโตต่อเนื่อง 40% พร้อมตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 20% และอัตรากำไรสุทธิที่ 10% โดยคาดว่าจะมีรายได้ทั้งจากธุรกิจชิ้นส่วนหนังสำหรับเบาะรถยนต์ และรายได้จากโรงไฟฟ้าและธุรกิจอื่นๆ โดยธุรกิจชิ้นส่วนหนังสำหรับเบาะรถยนต์คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 พันล้านบาท จากการมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากทั้งจากค่ายฮอนด้าและอีซูซุ
ประกอบกับปัจจัยหนุนจากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลโคกเจริญ ที่ จ.สระแก้ว ซึ่งมีกำลังการผลิต 9.6 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.นี้ จากเดิมที่บริษัทมีโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ปี 60 ที่ผ่านมา โดยในปีนี้จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี ดังนั้น จะส่งผลให้สัดส่วนกำไรสุทธิจากโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นราว 50% ซึ่งเพิ่มจาก 20% ในปี 60
"บริษัทมีแผนเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าชีวมวล ภายในไตรมาสที่ 2/61 ขนาด 9.6 เมกะวัตต์ โดยจะรับรู้เป็นกำไรไม่ต่ำกว่า 40-50 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้เป็นกำไรในไตรมาสที่ 3/61"
ด้านนายวีรพล เตชะผาสุขสันติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โชคนำชัย (CNC) เปิดเผยว่า บริษัท Sakun C มีกำลังการผลิตเรือราว 10 ลำ/เดือน คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดจองเรือ (Backlog) ราว 70-80 ลำ มูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ทั้งหมด โดยมีสัดส่วนออร์เดอร์กว่า 80% มาจากเมียนมา
บริษัทมองว่าตลาดเรือในประเทศไทยทั้งในแม่น้ำและทะเลมีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งบริษัทมีการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาเรือให้มีมาตรฐานเรือตามที่กรมเจ้าท่ากำหนดไว้ โดยจะเป็นลักษณะการทำธุรกิจในการผลิตเพื่อทดแทนเรือเดิม (replace) ซึ่งมีเรือที่จดทะเบียนกับกรมเจ้าท่ากว่า 8 หมื่นลำ โดยฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ทางภาคใต้ อาทิ กระบี่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ รวมถึงลูกค้าภาคตะวันออกด้วย
ขณะที่บริษัทมีแผนขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าปี 62 จะขยายสู่ตลาด CLMV และกลุ่มประเทศอาเซียนในอนาคต ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่ในเมียนมา เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ (new entry) ทำให้มี volume และความต้องการค่อนข้างสูง