นายสฤษดิ์ จิณสิทธิ์ หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านรัฐกิจสัมพันธ์ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) กล่าวว่า ตามที่ผู้ประกอบการโทรคมนาคมผู้ได้รับใบอนุญาตคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ตซ์ (MHz) ได้ยื่นหนังสือถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอพิจารณาผ่อนผันการชำระค่าเงินประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz งวดสุดท้ายในปี 2563 ออกไปเป็น 7 งวด โดยไม่มีดอกเบี้ย ตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 ซึ่ง คสช. ได้ส่งให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พิจารณาเหตุผลและความจำเป็นต่ออุตสาหกรรมอย่างรอบด้าน และ กสทช. ได้พิจารณาเสนอกลับไปยัง คสช. ให้ขยายออกไปเพียง 5 งวด พร้อมให้ชำระดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยกลางที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ประมาณ 1.5%) นั้น
นับว่าเป็นข้อเสนอมาตรการผ่อนผันที่เพียงพอที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการโทรคมนาคม เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัล ที่ได้รับการพิจารณามาตรการผ่อนผันการชำระเงินประมูลทีวีดิจิทัล เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559 ซึ่งผู้ประกอบการทั้ง 2 อุตสาหกรรมเป็นผู้ที่ได้ใบอนุญาตจากการประมูลคลื่นความถี่จากกสทช. เช่นเดียวกัน จึงควรได้รับการพิจารณาในหลักการเดียวกัน
สำหรับการยื่นขอพิจารณาผ่อนผันการชำระค่างวดเงินประมูลดังกล่าว ขอชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นการขอลดจำนวนเงินค่าประมูลคลื่นความถี่ที่ต้องชำระให้แก่รัฐแต่อย่างใด แต่เป็นการขอความช่วยเหลือเพื่อขยายจำนวนงวดชำระงวดสุดท้าย และพร้อมที่จะชำระดอกเบี้ยนโยบายที่รัฐกำหนด ซึ่งไม่ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ กสทช.กำหนดไว้เดิม โดยได้มีหลักประกันธนาคารให้แก่ กสทช. ครบถ้วนตามมูลค่าคลื่นที่ต้องชำระ ดังนั้น การขอแบ่งชำระของบริษัท จึงไม่ได้เป็นการผิดนัดการชำระ จนต้องคำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยค่าปรับ (15%) หรือทำให้รัฐเสียประโยชน์จากการผิดนัด นอกจากนี้ หากบริษัทต้องกู้ยืมเงินเพื่อมาชำระค่าคลื่นดังกล่าว ภาระทางการเงินในส่วนดอกเบี้ยจากการกู้เงิน จะอยู่ประมาณ 3-4% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (1.5%) ไม่ได้เป็นตัวเลขความเสียหายของรัฐจำนวนสูงตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด
นายสฤษดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากคสช. มีข้อสรุปไม่ให้ขยายระยะเวลาการชำระค่างวดเงินประมูลคลื่นความถี่ บริษัทฯ ก็เคารพในการตัดสินใจของ คสช. แต่หาก คสช. มีข้อสรุปให้ผ่อนผันการชำระหนี้พร้อมเงื่อนไขจ่ายดอกเบี้ยให้กับรัฐด้วยนั้น ก็จะทำให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคม มีกระแสเงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้นในการลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและการลงทุนด้านเทคโนโลยี 5G และ IoT ที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป