หุ้น SQ ราคาวิ่งขึ้น 4.02% มาอยู่ที่ 3.62 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท มูลค่าซื้อขาย 25.80 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.46 น. โดยเปิดตลาดที่ 3.48 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 3.68 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 3.44 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.สหกลอิควิปเม้นท์ (SQ) หลังราคาหุ้นปัจจุบันทรุดลงหนักรับข่าวลบมากไป ซื้อขาย P/E ปีนี้และปีหน้าที่ต่ำเพียง 6.8-10.3 แต่รอจังหวะซื้อหลังงบไตรมาสแรกซึ่งคาดจะอยู่ในระดับต่ำ หลังได้รับผลกระทบจากโครงการแม่เมาะ 8 ที่ใช้เวลาเปลี่ยนแนวสายพานใหม่ 2 เดือน แต่ทาง SQ ก็ได้งานมาชดเชยช่วยบรรเทาผลกระทบ ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการจะดีขึ้นบ้างในไตรมาส 2 และจะโดดเด่นในครึ่งปีหลัง
SQ แจ้งตลาดฯ ความคืบหน้าการแก้ปัญหาดินสไลด์บริเวณที่ทิ้งดินของโครงการแม่เมาะ 8 ที่ได้ทำให้แนวสายพานเสียหายประมาณ 20 ล้านบาท โดยได้ข้อสรุปว่าทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ว่าจ้างให้ SQ ขุดขนดินสไลด์ไปทิ้งบริเวณที่ทิ้งดิน จำนวน 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็นมูลค่า 136.38 ล้านบาท ในช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย. ขณะเดียวกันบริษัทยังดำเนินการงานเหมืองโครงการแม่เมาะ 8 ในเดือน เม.ย.-มิ.ย. 2561 โดยใช้รถบรรทุกในการขนดินแทนจำนวนประมาณ 2.25 ล้านลบ.ม.
ขณะที่ทาง กฟผ. ได้อนุมัติให้ปรับเปลี่ยนแนวสายพานโครงการแม่เมาะ 8 ประมาณ 900 เมตร จากทั้งหมด 13 กิโลเมตร (กม.) เป็นเงินลงทุนประมาณ 70-80 ล้านบาท ซึ่งไม่มากนักเมื่อเทียบกับงบลงทุนโครงการแม่เมาะ 8 ทั้งโครงการ 7 พันล้านบาท ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน (เม.ย.-พ.ค.61) จะเริ่มกลับมาเดินเครื่องเต็มที่ในเดือน มิ.ย.61 ซึ่งทาง SQ กำลังเจรจากับ กฟผ. เพื่อหาแนวทางชดเชยสำหรับต้นทุนในส่วนเพิ่มนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น นอกจากนี้ทาง SQ จะยังไม่คิดค่าเสื่อมเงินลงทุนในโครงการแม่เมาะ 8 จนกว่าแนวสายพานใหม่และเครื่องจักรใหญ่จะเดินเครื่องเต็มที่ในเดือน มิ.ย.61
ทั้งนี้ ระบบสายพานต้องใช้เวลาซ่อม 2 เดือน ซึ่งงานขนดินระบบสายพาน จะมีประสิทธิภาพประมาณ 3.75 ล้านลบ.ม./เดือน การเกิดอุบัติเหตุดินสไลด์ประมาณกลางเดือน มี.ค.61 ดังนั้น งานในส่วนนี้จึงหายไป 9.4 ล้านลบ.ม. เทียบกับที่ทาง SQ ได้ชดเชยมา คือ งานขุดขนดินที่สไลด์ 2.5 ล้านลบ.ม. และงานขนดินโดยใช้รถบรรทุก 2.25 ล้านลบ.ม.ซึ่งโครงการแม่เมาะ 8 คิดเป็น 55% ของประมาณการรายได้ในปีนี้ ดังนั้น สุทธิแล้วจึงปรับลดประมาณการลง ประเมินรายได้ในปี 2561 เท่ากับ 4,121 ล้านบาท เติบโต 31% แต่ลดลงจากเดิม 4,488 ล้านบาท และ คาดจะมีกำไรสุทธิ 381 ล้านบาท เติบโต 5.8% แต่ลดลงจากเดิม 490 ล้านบาท