นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยว่า ตามแผนการดำเนินงานปี 61/62 (เม.ย.61-มี.ค.62) รายได้จากการดำเนินงานเติบโตก้าวกระโดด 200% โดยมีธุรกิจระบบขนส่งมวลชนเป็นแกนหลักในการเติบโต จากกำหนดการการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการของส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้เดือนธันวาคม 2561 ที่จะถึงนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้จากการเดินรถ (O&M) ขึ้นถึง 30% จากปีก่อนแล้ว ยังช่วยส่งจำนวนผู้โดยสารเข้ามาที่เส้นทางสีเขียวสายหลักอีกด้วย
"การเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้นับเป็นเรื่องที่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนต่างตั้งตารอมานาน และการเติบโตในปีนี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการเติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะไม่ใช่แค่เพียงการเติบโตในธุรกิจระบบขนส่งมวลชนเพียงอย่างเดียว แต่ธุรกิจสื่อโฆษณา และอสังหาริมทรัพย์ ยังจะได้รับอานิสงส์ในการเพิ่มมูลค่าของแต่ละธุรกิจจากการขยายเครือข่ายและเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าที่บีทีเอสได้รับมา"นายกวิน กล่าว
นายกวิน กล่าวอีกว่า สำหรับนรอบปีบัญชี 61/62 ธุรกิจระบบขนส่งมวลชนของบีทีเอส คาดว่าจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้จำนวน 20,000-25,000 ล้านบาทจากงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู (มีนบุรี-แคราย) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งบีทีเอส ในฐานะเป็นผู้เดินรถ พร้อมด้วย บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) และบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ที่ได้รับสัญญาสัมปทานทั้งสองสายในเดือนมิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา บวกกับรับรู้รายได้ต่อเนื่องจากปีก่อน จำนวน 7,000-9,000 ล้านบาท จากการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าสำหรับสีเขียวส่วนต่อขยายและการติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลสำหรับเส้นทางสายสีเขียวใต้ (แบริ่ง-สมุทรปราการ) และเหนือ (หมอชิต-คูคต) นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าจะมีรายได้จากดอกเบี้ยรับจากการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าสำหรับส่วนต่อขยายสายสีเขียว และจากงานก่อสร้างสายสีชมพูและสายสีเหลืองอีกประมาณ 600-700 ล้านบาท
ในส่วนของจำนวนผู้โดยสารในส่วนของรถไฟฟ้าสายหลักคาดว่าจะเติบโต 4-5% จากปีก่อน ทั้งนี้จากข้อมูล 11 เดือนล่าสุดของปี 60/61 ที่ผ่านมา พบว่าบีทีเอสมียอดผู้โดยสารรวมกว่า 220.3 ล้านคน หรือเฉลี่ย 743,027 คน/วันทำการ โดยปัจจัยหลักของการเติบโตมาจากการเติบโตตามธรรมชาติ รวมทั้งการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการของส่วนต่อขยายสายสีเขียวฝั่งใต้ ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 12.6 กิโลเมตร จำนวน 9 สถานี ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนธันวาคม ปี 2561 นี้ จะช่วยป้อนผู้โดยสารเข้ารถไฟฟ้าสายหลัก และเป็นปัจจัยหนุนหลักของรายได้ธุรกิจระบบขนส่งมวลชนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 261/62 อีกด้วย
นอกจากนี้ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้าและการพัฒนาเมือง รวมไปถึงปัญหาการจราจรติดขัดในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ยังถือเป็นสาเหตุหลักให้จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น สำหรับรายได้จากการเดินรถ คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 30% เมื่อเทียบกับปี 60/61 ซึ่งเป็นผลจากการเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบของส่วนต่อขยายใต้ที่กล่าวมาข้างต้น
ด้านธุรกิจโฆษณาภายใต้การบริหารของ บมจ.วีจีไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) ยังคงขยายธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งการมี synergy กับ Rabbit Group เพื่อต่อยอดธุรกิจโฆษณาแบบ Offline-to-Online (O2O) ส่งผลให้ธุรกิจโฆษณาสามารถให้บริการได้ครบวงจร สอดคล้องกับ Lifestyle และเจาะเข้าถึงผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยเราคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจโฆษณาในงวดปี 61/62 เติบโตเป็น 4,400-4,600 ล้านบาท และคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA margin) จะอยู่ที่ประมาณ 40-45% ส่วนอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ราว 20-25%
สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัท ในปีนี้ ส่วนใหญ่ถูกโอนไปอยู่ภายใต้บมจ.ยู ซิตี้ (U City) ในฐานะเป็นบริษัทร่วมที่เป็นผู้ดำเนินงานและลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บริษัท เตรียมจัดทัพธุรกิจพร้อมรุกตลาดอย่างเต็มกำลังผ่านการควบรวมธุรกิจโรงแรมในยุโรปและอาคารสำนักงานให้เช่าในประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ ยู ซิตี้ คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ ประมาณ 6,000-6,700 ล้านบาท และมี EBITDA margin ไม่ต่ำกว่า 25%
อย่างไรก็ดี ในส่วนของรายจ่ายลงทุน (CAPEX) ทั้งหมดของปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 27,000-34,000 ล้านบาท โดยมากกว่า 90% ของรายจ่ายลงทุน จะใช้ในการลงทุนในธุรกิจระบบขนส่งมวลชนประมาณ 26,000- 32,000 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับงานก่อสร้างที่บริษัทเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนที่เหลือจะใช้ลงทุนในธุรกิจโฆษณาประมาณ 1,100 ล้านบาท และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 400 ล้านบาท
"กลุ่มบริษัท เตรียมความพร้อมในการลงทุนเพื่อต่อยอดความสำเร็จของธุรกิจอยู่เสมอ และเชื่อมั่นว่าเรามีศักยภาพเพียงพอที่จะจัดหาแหล่งเงินทุนผ่านช่องทางที่เหมาะสมและหลากหลาย"นายกวิน กล่าว