โบรกเกอร์เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) คาดผลประกอบการไตรมาส 1/61 น่าประทับใจ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น หลังสามารถบริหารค่าใช้จ่ายการขายและบริหารได้ดี ประกอบกับมีการเติบโตของอุปสงค์ผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากจีน, กลุ่ม CLMV และค่ารักษาพยาบาลต่อหัวที่สูงขึ้น
รวมถึงการเผชิญกับโรคระบาดหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินหายใจ และโรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งยังต้องลุ้นว่าในส่วนกำไรหลักจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้หรือไม่
สำหรับผลการดำเนินงานทั้งปี 61 คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการปรับเพิ่มราคาค่าบริการ 5% ซึ่งจะทำให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นมาด้วย และการเผชิญกับโรคระบาดหลายโรค รวมถึงยังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของธุรกิจการท่องเที่ยว และผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การทำศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ (Vitallife Wellness Center) ก็จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรในอนาคตอีกด้วย
ราคาหุ้น BH อยู่ที่ 220.00 บาท ลดลง 1.00 บาท (-0.45%) เมื่อเวลา 14.54 น.ขณะที่ SET +0.02%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 236 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อ 230 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 232 บัวหลวง ซื้อ 234 ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ 230 กสิกรไทย ซื้อ 228
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปีนี้ของ BH คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการปรับเพิ่มราคาค่าบริการขึ้น 5% ซึ่งจะทำให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นและยังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของธุรกิจการท่องเที่ยว และผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งจะผลักดันให้ทั้งรายได้และมาร์จิ้นเติบโตได้ดี
"เดิม BH จะโฟกัสผู้ป่วยที่มาจากทางตะวันออกกลาง หลังจากที่มีประเด็นเกี่ยวกับสาธารณสุขของประเทศทางตะวันออกกลาง และการประกันสุขภาพที่ลดลง ทำให้จำนวนผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลางลดลง ดังนั้น ทาง BH จึงได้ปรับมาโฟกัสผู้ป่วยจากจีน และกลุ่ม CLMV ด้วย ซึ่งทำให้จำนวนผู้ป่วยของ BH กลับมาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/60"นายสุทธิชัย กล่าว
นายสุทธิชัย กล่าวว่า ในไตรมาส 1/61 คาดว่าผลการดำเนินงานของ BH น่าจะดี จากการปรับราคาค่าบริการเพิ่มขึ้น 5% และปีนี้ก็เผชิญกับโรคระบาดหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินหายใจ และโรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น ขณะที่จำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางก็ทรงตัว และเริ่มมีศักยภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันยังได้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากจีน และกลุ่ม CLMV
นอกจากนี้ BH ยังได้ดำเนินการศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ซึ่งก็น่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรในอนาคตได้ พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ไว้ที่ 4.45 พันล้านบาท เติบโต 12% จากปีที่แล้ว
ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น BH เนื่องจากแผนการธุรกิจที่มีความเสถียรค่อนข้างสูง โดยนักลงทุนสามารถคาดหวังถึงอัตราการเติบโตของกำไรแบบยั่งยืนผันผวนต่ำ โดยเฉพาะอัตรากำไรที่แข็งแกร่งได้ นอกจากนี้ยังมองการลงทุนใน BH เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อขาขึ้นได้ดี
ทั้งนี้ คาดผลประกอบการไตรมาส 1/61 น่าประทับใจ จากรายได้ธุรกิจการแพทย์เป็นช่วงไฮซีซั่น คาดจะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวจากฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลจากการเติบโตของอุปสงค์ผู้ป่วยต่างชาติและค่ารักษาพยาบาลต่อหัวที่สูงขึ้น หลังปรับขึ้นค่าราคาค่ารักษาประจำปีที่มีผลในวันที่ 1 ม.ค.61 พร้อมรอดูกำไรหลักที่ลุ้นทำสถิติสูงสุด หรือสูงเป็นอันดับที่สองในประวัติการณ์อีกครั้งในไตรมาส 1/61
ทั้งนี้ ผู้ป่วยต่างชาติคิดเป็น 64% ของรายได้ธุรกิจการแพทย์ และ BH ได้เข้าสู่ตลาดใหม่ หลังจากรายได้จากผู้ป่วยตะวันออกกลางอยู่จุดต่ำสุดในปี 59 ก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เนื่องจากอุปสงค์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากผู้ป่วยประเทศคูเวตและซาอุดิอาระเบีย แม้ผู้ป่วยจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จะยังเติบโตอย่างชะลอตัว
โดยตลาดที่น่าสนใจที่สุดคือประเทศจีน รายได้จากผู้ป่วยชาวจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปี 60 จึงทำให้สัดส่วนรายได้จากชาวจีนซึ่งไม่มีนัยสำคัญในอดีต ปรับตัวเพิ่มขึ้นขึ้นมาเป็นถึง 2% ในปี 60
ส่วนศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคลินิกยอดนิยมของ BH ดำเนินงานได้อย่างดีเยี่ยม โดยปริมาณผู้ปวยนอกปรับตัวเพิ่มขึ้น 23% ในปี 60 และอัตรากำไรสำหรับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพโดยปกติจะสูงกว่าการให้บริการทางการแพทย์ ในปี 60 กำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคาของศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.8% และอัตรากำไรสุทธิที่ 3.1% จากแผนปรับปรุงของโรงพยาบาล
ส่วน บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่า BH จะมีกำไรสุทธิ 1.04 พันล้านบาทในไตรมาส 1/61 เติบโต 13% จากไตรมาสก่อน และ 4% จากงวดปีก่อน โดยการเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน น่าจะเป็นผลจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายการขายและบริหารที่ลดลงเป็นหลัก ส่วนการเติบโตจากงวดปีก่อน น่าจะเป็นผลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้ที่ผลักดันจากราคาค่าบริการที่เพิ่มขึ้นเป็นหลักฺ ทั้งนี้ BH มีการปรับอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5% ในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นยังคงที่เมื่อเทียบกับงวดปีก่อน รวมทั้งยังน่าจะบริหารค่าใช้จ่ายการขายและบริหารได้ดี
นอกจากนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 จะยังสะท้อนความสามารถในการรักษาโรคซับซ้อน ทำให้สามารถปรับเพิ่มราคาค่าบริการได้ รวมทั้งการมีโรงพยาบาลหลักแห่งเดียวจะทำให้สามารถบริหารค่าใช้จ่ายการขายและบริหารได้ดี ทั้งนี้กำไรสุทธิไตรมาส 1/61 คิดเป็นสัดส่วน 25% ของประมาณการกำไรทั้งปี 61 โดยคาดว่า BH จะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 ในวันที่ 25 เม.ย.
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่ากลับมามีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นสำหรับ BH เนื่องจาก สามารถทำอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ได้ดีขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 2/59 อีกทั้งการมีสัดส่วนคนไข้ต่างประเทศที่สูงถึง 64% จากจำนวนคนไข้รวมทั้งหมด ดังนั้น เมื่อคนไข้ต่างประเทศฟื้นตัว โดยเฉพาะตะวันออกกลาง จึงยังผลให้รายได้เติบโตดี และอัตรากำไรทำได้มาก จึงเห็นว่าตลาดมองการฟื้นตัวของกลุ่มการแพทย์ต่ำกว่าที่ประเมิน สืบเนื่องจากผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 เริ่มส่งสัญาณดีเกินคาด ขณะที่ฐานไตรมาส 1/60 ได้รับผลกระทบจากช่วงไว้อาลัยทำให้ผู้เดินทางมายังไทยน้อยลง
นอกจากนี้ ประเมินมูลค่าหุ้นพบว่ายังไม่แพง P/E ปี 61 เป็น 34 เท่า เทียบกับ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ที่เน้นคนไข้ต่างประเทศเช่นกันซึ่งมี P/E สูงเป็น 40 เท่า ด้านแรงกระตุ้นราคาหุ้นได้ในอนาคต คือ การฟื้นตัวของคนไข้ตะวันออกกลางและจีนที่ออกมาสูง อีกทั้งศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ยังเป็นคลินิกก็จะมีการเติบโตแบบยั่งยืนได้