นายธีระชัย ธีระรุจินนท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) หรือ TPLAS เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ระดมทุนรองรับการขยายโรงงานลงทุนเครื่องจักรใหม่ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปีนี้
TPLAS เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถุงบรรจุอาหารประเภท ถุงร้อน ผลิตจากพลาสติกชนิด PP , ถุงขุ่น และ ถุงหูหิ้ว ผลิตจากพลาสติกชนิด HDPE ภายใต้ตรา "หมากรุก" และฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร ผลิตจากพลาสติกชนิด PVC ภายใต้ตรา "Vow Wrap" โดยมีสโลแกนคือ "มาตรฐาน ทนทาน เหนียวแน่น " ด้วยศักยภาพด้านเทคโนโลยีการผลิต ส่งผลให้บริษัทมีความพร้อมที่จะมุ่งมั่นก้าวสู่การเป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารที่ทันสมัย และมีคุณภาพสูง ที่มีความหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศและภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
"บริษัทมีความพร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai โดยการเข้ามาระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยตอกย้ำความน่าเชื่อถือ และการดำเนินธุรกิจ เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารที่ทันสมัย และศักยภาพสูง"นายธีระชัย กล่าว
สำหรับวัตถุประสงค์จากการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อลงทุนสินทรัพย์ ในการขยายอาคารโรงงานใหม่ พร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติก และปรับปรุงอาคารโรงงานเดิม และสำนักงานของบริษัท เพื่อเป็นการรองรับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จากถุงพลาสติก และการขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น พร้อมทั้งยังมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าอัตรา 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและเงินสำรองอื่น
บริษัทมีการผลิตสินค้าขนาดที่ใช้ทั่วไปในตลาดแบบ Mass Production เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติกและฟิล์มถนอมอาหารที่มีมากในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันกำลังการผลิตถุงพลาสติก รวม 10,281.60 ตันต่อปี โดยแบ่งเป็น ถุงพลาสติกประมาณ 850 ตันต่อเดือน ในขณะที่กำลังการผลิตฟิล์มถนอมอาหาร (PVC) อยู่ที่ 1,411.20 ตันต่อปี หรือประมาณ 120 ตันต่อเดือน
ทั้งนี้ TPLAS มีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 200 ล้านหุ้น โดยมี ครอบครัว ธีระรุจินนท์ ถือหุ้นทั้ง 100% โดยหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะทำให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 135 ล้านบาท หรือคิดเป็น 270 ล้านหุ้น ขณะที่ครอบครัว ธีระรุจินนท์ จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 74.07%
พร้อมกันนี้ บริษัทได้ตั้งแต่ให้ บล.เออีซี เป็นบริษัทปรึกษาทางการเงินในการนำหุ้นบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาด mai