นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (23-27 เม.ย.) ประเมินกรอบเคลื่อนไหวที่ 1,780-1,830 จุด โดยมีแนวโน้มในทางบวกมากขึ้นหลังปัจจัยลบคลี่คลายลงไป ส่งผลให้แรงกดดันต่อดัชนีหุ้นไทยมีน้อยลง ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นเป็นบวกต่อผลการดำเนินงานหุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้ทรงตัวได้ และนักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรในงบการเงิน อย่างไรก็ตาม หลายตัวแปรที่ผลและอาจทำให้ตลาดผันผวนได้ คือ การตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ในเรื่องนโยบายการค้า และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีผลต่อราคาน้ำมันหากน้ำมันปรับตัวขึ้นเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย รวมไปถึงการประมาณการกำไรของบริษัทต่าง ๆ จะมีผลตรงต่อราคาหุ้นตัวนั้น ๆ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นนั้นเป็นปัจจัยหนุนต่ออัตราเงินเฟ้อ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ขยับขึ้นด้วย ซึ่งจะมีผลต่อกระแสเงินลงทุน ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องมาตรการการค้าของสหรัฐฯ-จีน ที่ตลาดยังให้ความสนใจอยู่ หลังสหรัฐฯเตรียมประกาศจำกัดการลงทุนเทคโนโลยีของจีนในสหรัฐฯ และป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา แม้ว่าในท้ายที่สุดทั้งสองประเทศจะมีการเจรจากัน แต่การตอบโต้กันไปมาลักษณะนี้ จะทำให้นักลงทุนมีความกังวล กระทบต่อตลาดหุ้นทั้งสองประเทศเองและหุ้นกลุ่มส่งออกของไทยด้วย
อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้ คาดว่าหุ้นกลุ่มใหญ่อย่างกลุ่ม ธนาคาร-ปิโตรเคมี-โทรศัพท์ จะเป็นกลุ่มที่เดินหน้าต่อได้ และจะมีการสลับเข้าลงทุนในแต่ละวัน สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร KTBST ให้ความสนใจ BBL ที่ประเมินว่าปีนี้ตั้งสำรองฯไม่มาก กลุ่มปิโตรเคมีมอง IRPC ที่มีความเป็น laggard ในสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มโทรศัพท์ แนะนำหุ้นหลัก ADVANC และ TRUE นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่มีความชัดเจนในการลงทุนในโซนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จากอาลีบาบาและโครงการรถไฟความเร็วสูงที่กำลังเดินหน้า โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ในช่วงแรกจะเป็นทั้ง WHA และ AMATA และหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวอย่าง THANI และ HMPRO
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ในสัปดาห์นี้คือ ติดตามรายงานตัวเลขผลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ล่วงหน้า ในวันที่ 27 เมษายน คาดว่าจะออกมาที่ 2.3% ชะลอตัวลงจากช่วงก่อนหน้าที่ 2.9% ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 26 เมษายน คาดว่าจะยังคงดอกเบี้ยไว้ ณ ระดับ 0% จากช่วงก่อนหน้า และแนวทางในการต่อมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังจากมาตรการภาษีของทรัมป์ได้บังคับใช้ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา โดยล่าสุดความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.2% และคาดว่าจะการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นได้ไวที่สุดในช่วงสิ้นปี 2562
ด้านทางเอเชีย จะมีการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 27 เมษายนนี้ คาดว่าจะยังคงดอกเบี้ยไว้ ณ ระดับติดลบ 0.1% และความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบการประชุมนี้อยู่ที่ 10.2%