นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะสร้างฐานหลังจากที่ได้ปรับขึ้นไป 3 วันติดต่อกันในสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ทางเทคนิคเริ่มร้อน นอกจากนี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องมาแตะที่ระดับ 2.96% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ปี ทำให้อาจจะกดดันตลาดฯในวันนี้ได้
นอกจากนี้ เงินบาทก็เริ่มอ่อนค่า ซึ่งอาจจะกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อ รวมถึงวันนี้มีการขึ้นเครื่องหมาย XD หุ้น BBL, TMB ซึ่งอาจจะกดดันดัชนีฯราว 1 จุด
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อยราว 0.1-0.3% โดยวันนี้ให้ติดตามตัวเลขการส่งออกของไทยงวดเดือนมี.ค. และให้ติดตามตัวเลข PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นงวดเม.ย.ของทั่วโลกด้วย
พร้อมให้แนวรับ 1,789-1,790 จุด ส่วนแนวต้าน 1,805-1,810 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 เม.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,462.94 จุด ร่วงลง 201.95 จุด (-0.82%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,670.14 จุด ลดลง 22.99 จุด (-0.85%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,146.13 จุด ลดลง 91.93 จุด (-1.27%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 4.36 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 8.10 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 91.30 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 22.49 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 2.63 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 6.75 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.71 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 เม.ย.61) 1,801.28 จุด เพิ่มขึ้น 6.34 จุด (+0.35%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,151.97 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 เม.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 เม.ย.61) ปิดที่ระดับ 68.38 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 เม.ย.61) ที่ 5.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.36 แนวโน้มอ่อนค่าตามภูมิภาค, รอดูตัวเลขส่งออกของไทย-ยอดขายบ้านมือสองสหรัฐฯ
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานรากธนาคารออมสิน คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2561 จะขยายตัว 4% เท่ากับไตรมาสก่อน และตลอดทั้งปี 2561 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นอยู่ 4.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่อยู่ 3.9% จากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐทั้งการลงทุนและเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก จะเป็นตัวเร่งให้การบริโภคภาคเอกชนมีการขยายตัวมากยิ่งขึ้น
- ขณะนี้ กฟผ.มีความกังวลด้านความมั่นคงระบบผลิตไฟฟ้าภาคใต้ในปี 2563 ที่มีความเสี่ยงจะไม่เพียงพอ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟภาคใต้สูงสุด (พีก) เมื่อปี 2560 อยู่ที่ 2,642 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าหลักคือจะนะและขนอมผลิตไฟฟ้า ได้จริง 2,024 เมกะวัตต์
- ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ไตรมาสแรกประจำปี 2561 ที่ประกาศออกมาในสัปดาห์ที่แล้ว โดยธนาคารพาณิชย์ 11 แห่งมีกำไรสุทธิรวม 54,408 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 53,655 ล้านบาท โดยธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงทำกำไรสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งที่ 11,364 ล้านบาท อันดับ 2 ธนาคารกสิกรไทย 10,765 ล้านบาท และอันดับ 3 ธนาคารกรุงเทพ 9,004 ล้านบาท
- เหตุการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง ดันราคาทองคำพุ่งขึ้นในระยะสั้น ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนควรทำกำไร หากมีความแน่นอนสูงและสถานการณ์คาดการณ์ยาก นักลงทุนจะถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง อาจช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับราคาทองคำในระยะยาวได้
- กองทุนร่วมทุน 3 แบงก์รัฐ ยอดยังอืด ล่าสุด ณ 28 ก.พ.2561 มีอนุมัติสินเชื่อรวมแค่ 964 ล้านบาท เหตุระเบียบราชการไม่ยืดหยุ่น ทำให้หนุนสตาร์ทอัพเกิดยาก ด้าน สสว.เดินหน้าสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการตั้งแต่ระดับต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า
- คลัง หวัง "แบงก์ชาติ" จี้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเอสเอ็มอี ระบุชัด แม้ส่วนต่างดอกเบี้ยกู้-ฝาก เฉลี่ยที่ 2% แต่รายย่อยถูกชาร์จแพงกว่า ย้ำกลไกตลาดไม่สมบูรณ์ ผู้กำกับดูแลต้องทำให้ดี
*หุ้นเด่นวันนี้
- IVL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 75 บาท ไม่มี Sentiment เชิงลบจากการประกาศปรับโครงสร้างหน้าโรงกลั่นของภาครัฐ ขณะที่ระยะสั้นยังได้ผลบวกจากราคาฝ้ายที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ระดับ 85 เซนต์/ปอนด์ คาดหนุนให้ราคาเส้นใยโพลีเอสเตอร์ของ IVL ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนฝ้ายปรับตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้
- EKH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 7.00 บาท คาดกำไรสุทธิ Q1/61 โตสูง 50% Y-Y เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มการแพทย์ ที่ได้ผลดีจากโรคระบาดและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนกำไรทั้งปีนี้คาดโต 10% Y-Y อยู่ที่ 92 ล้านบาท ด้านราคาหุ้นแม้จะเริ่มฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ 1 เดือนที่ผ่านมายัง laggard กลุ่มอยู่ราว 2% และถ้าย้อนไป 1 ปียัง laggard กลุ่มอยู่ถึง 20%
- SPA (ไอร่า) "ซื้อลงทุน"เป้า 21.70 บาท การปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญตั้งแต่ Q4/59 ถือเป็นเรื่องดี ล่าสุดสถานการณ์กลับมาเป็นปกติตั้งแต่กลางปี 60 ด้านนักท่องเที่ยวจีนที่ไม่ผ่านทัวร์ ซึ่งเป็นลูกค้าเป้าหมายของ SPA ขยับสัดส่วนขึ้นมาเป็น 60% (เดิม 40%) ทั้งนี้ ปี 61 มุ่งตลาดต่างประเทศเต็มตัว โดยแฟรนไชส์ในจีนจะขยายจากเดิมที่มี 1 สาขา เป็น 3 สาขา และเริ่มต้นเปิดแฟรนไชส์ในกัมพูชา อีก 3 สาขา พร้อมกันนี้ยังมีแผนเปิดสาขา Flagship ของตนเองที่เซี่ยงไฮ้ อีก 1 สาขา รวมถึงแผนการขยายสาขาในประเทศต่อเนื่องอีก 10 สาขาในปีนี้ (ได้สถานที่แล้ว 7 แห่ง) รวมเป็น 50 สาขาในประเทศ (ปี 60 มี 40 สาขา) ในระยะยาวมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากกระแสการดูแลตนเองที่มากขึ้น รวมถึงการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวจีน และการที่ SPA เริ่มเข้าไปลงทุนในจีนโดยตรง ด้านผลประกอบการปี 61-62 คาดทำจุดสูงสุดต่อเนื่อง