นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทยลิสซิ่ง (MTLS) เปิดเผยว่าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2561 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติให้บริษัทเปลี่ยนชื่อใหม่ จากบริษัท เมืองไทยลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS เป็น บริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC
สำหรับวัตถุประสงค์การเปลี่ยนชื่อบริษัทเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้เข้าใจถูกต้องว่าบริษัทประกอบธุรกิจ"สินเชื่อ"มิใช่"เช่าซื้อ"คาดว่ากระบวนการเปลี่ยนชื่อจะแล้วเสร็จไม่เกินกลางปีนี้ รวมทั้งที่ผ่านมามีประกาศราชกิจจานุเบกษาออกพระราชบัญญัติคุมธุรกิจเช่าซื้อ หรือลิสซิ่ง ออกมาแล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไปนั้น ซึ่งปรากฎว่า พ.ร.บ.ใหม่จะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเช่าซื้อเท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อ MTLS เพราะบริษัททำธุรกิจปล่อยสินเชื่อ เพียงแค่ชื่อบริษัทฯลงท้ายว่า ลิสซิ่งเท่านั้น และเมื่อเปลี่ยนชื่อแล้วเชื่อว่าน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น
นายชูชาติ กล่าวถึง ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 1/61 คาดว่าจะการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยจะมีการเติบโตระดับ 40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และสามารถควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้รายได้ (NPL) ให้อยู่ระดับไม่เกิน 1.5% รวมทั้งการเปิดสาขาใหม่ก็เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยปัจจุบัน บริษัทได้เปิดสาขาเพิ่มแล้วนับตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 31 มี.ค.61 จำนวน 214 สาขา จากเป้าหมายที่จะเปิดสาขาจำนวน 600 สาขาภายในสิ้นปีนี้ จึงรวมเป็นจำนวนสาขาทั้งสิ้น 2,637 สาขา
นายชูชาติ กล่าวว่า การที่ไตรมาส 1 ปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปีจะสามารถเดินหน้าได้ตามแผนที่วางไว้ โดยปีนี้ คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท และคาดกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง จากปีก่อนที่ทำได้ 2,500.60 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ยังเติบโตได้ดี
ทั้งนี้ ยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ปีนี้น่าจะทำสถิติใหม่เช่นกัน ประเมินว่าจะทำได้เกิน 8 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 40% จากปีก่อน ขณะที่ปี 62 และปี 63 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตเฉลี่ยมากกว่า 35%
"บริษัทวางเป้าหมาย 3 ปี (2561-2563) ยอดปล่อยสินเชื่อต้องโตอย่างน้อย 40%, 40% และ 30% หรือเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 35% ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนของภาครัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการจับจ่ายของภาคประชาชน ซึ่งสินเชื่อก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นธุรกิจของเราจะยังเป็นขาขึ้นอย่างน้อยอีก 3 ปี" นายชูชาติ กล่าว